นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ที่นายสุพัฒนพงษ์พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธานมีมติเห็นชอบกบง.ยังเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) หรือก๊าซหุงต้มอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม (กก.) ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2563 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยใช้เงินกองทุน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของบัญชีแอลพีจีมาบริหาร คิดเป็นรายจ่ายประมาณ 450 บาทต่อเดือน
“ตามกรอบวงเงินที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท หรือเหลืออีกประมาณ 5 เดือน (ตุลาคม 2563-มกราคม 2564 ณ วันที่ 13 กันยายน 2563 บัญชีแอลพีจีติดลบ 7,424 ล้านบาท”นายวัฒนพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางลดภาระค่าไฟฟ้า โดยจะไปหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ในการทบทวนหลักเกณฑ์ทางการเงินให้มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทั้งนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ไปบริหารจัดการปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมจัดทำแผนการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า และการกำกับดูแลการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของกฟผ. นำกลับมาเสนอกบง.อีกครั้ง
“ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณไฟฟ้าสำรอง 37-40%ของกำลังการผลิต เพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัวที่เคยอยู่ในระดับ 17% ดังนั้นจึงต้องทบทวนแผนการจำหน่ายไฟเชิงพาณิชย์(ซีโอดี) ของโรงไฟฟ้าต่างๆรวมถึงการทบทวนแผนซื้อขายไฟฟ้าจากต่างประเทศเพื่อลดภาระการสำรองไฟฟ้าในประเทศที่สูงขึ้น ให้สอดคล้องกับเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของภูมิภาคอาเซียน(เพาเวอร์ ฮับ)” นายวัฒนพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ ให้ กกพ. กำหนดอัตราค่าบริการจัดหาและค่าส่งก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) และทบทวนค่าบริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อให้เหมาะสม รวมถึงทบทวนต้นทุนโครงสร้างต้นทุนของราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติเหลวสำหรับรถยนต์(เอ็นจีวี) ให้เหมาะสมและสะท้อนต้นทุนจริง
โดยเบื้องต้นได้กำหนดการเปิดเสรีแอลเอ็นจี ไว้ 2 แนวทาง คือ 1.การส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติหรือเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบ 2.การให้บริษัท ปตท. เป็นผู้ซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียว ซึ่งจะมีการหารือให้ได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) พิจารณาในเดือนตุลาคมนี้
ทั้งนี้ กบง.ยังเห็นชอบตามข้อเสนอของ กกพ. เพื่อเยียวยาผู้ได้รับการคัดเลือกโครงการ SPP Hybrid Firm ในการขยายกำหนดวัน SCOD โครงการ SPP Hybrid Firm ออกไป 1 ปี จากเดิมปี 2564 เป็นปี 2565 เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาโครงการฯ ที่ไม่สามารถจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ตามระยะเวลาโดยมอบให้ กกพ. ไปดำเนินการแจ้งผู้ได้รับการคัดเลือกให้จัดทำรายงานแผนการดำเนินการโครงการฯ และจัดส่งให้ กกพ. ภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2563 เพื่อพิจารณา และนำผลการพิจารณามารายงานต่อ กบง. ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี