นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
เปิดเผยแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ว่า มีแนวโน้มซึมยาวต่อเนื่องไปอีก 2 ปี จากภาวะเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจาก ไวรัสโควิด-19 และยังไม่มีความแน่นอน ว่าจะมีการใช้วัคซีน ออกมารักษาได้เมื่อใด
พร้อมคาดการณ์ว่า จะเริ่มเห็นการฟื้นตัว ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างเร็ว ในปี 2566 เนื่องจากไร้ปัจจัยหนุนที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดโดยเฉพาะการขาย และการโอนกรรมสิทธิ์ กลุ่มที่อยู่อาศัย ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อมาก แต่ไม่มีมาตรการใดออกมาสนับสนุน ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ ยังคงชะลอการซื้ออสังหาริมทรัพย์
“แม้ว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีขึ้นบ้าง หลังการคลายล็อกดาวน์ แต่เป็นทิศทางการฟื้นตัว ที่ยังคงชะลอตัวอยู่ หรือไม่ได้ฟื้นตัว กลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้มองภาพการฟื้นตัวในปี 2564 ยังไม่ดีเท่าที่ควร” นายวิชัย กล่าว
ดังนั้น หากมีการขยายเพดาน มาตรการปรับลดค่าธรรมเนียม การโอน และการจดจำนอง ในกลุ่มระดับราคาสูงกว่า 3 ล้านบาท ก็เชื่อว่า จะทำให้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย กลับมากระเตื้องขึ้นได้ และจะมีเม็ดเงิน เพิ่มเข้ามาหมุนเวียนในระบบ อีกมากกว่า 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยเศรษฐกิจไทย ได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน มาตรการสนับสนุน ภาคอสังหาริมทรัพย์ ของภาครัฐ ในการลดค่าธรรมเนียม การโอน และการจดจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับบุคคลที่ซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ที่ยังมีค่อนข้างจำกัด เพราะเป็นกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องภาระหนี้สิน ค่อนข้างมากทำให้เห็นอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ความเข้มงวด ในการปล่อยสินเชื่อ ของสถาบันการเงิน ที่เพิ่มขึ้น ยังส่งผลกระทบ ต่อการโอน ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และกระทบมาถึง ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังไม่เห็นการกลับมาฟื้นตัวชัดเจนได้
ทั้งนี้ หากต้องการช่วยเหลือ กลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ที่เป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สินมาก ให้สามารถเข้าถึงการมีบ้านเป็นของตัวเอง และสามารถเข้าถึงการกู้ยืมสินเชื่อได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายลง ควรปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ จากหนี้ระยะสั้น ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งเป็นหนี้สินที่คนมีรายได้น้อย มีอยู่ค่อนข้างมาก นำมารวมกัน เป็นสินเชื่อระยะยาว ที่มีอัตราดอกเบี้ยถูกลงจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ สิ่งที่อยากเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ การทำงานร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรมมากขึ้น หลังจากล่าสุด ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ได้ให้ข้อเสนอ 21 ข้อ กับนายกรัฐมนตรี ในการช่วยเหลือ และกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือในช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เห็นการรับข้อเสนอ ถูกนำออกมาใช้ อย่างเป็นรูปธรรม และไม่สามารถช่วยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างชัดเจน
“การทำงานของ ภาครัฐและเอกชน จะต้องมีการทำงานร่วมกัน อย่างจริงจัง และมีไทม์ไลน์ ออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับให้ความชัดเจน กับภาคเอกชน ว่าข้อเสนอใด สามารถทำได้ หรือทำไม่ได้ เพื่อให้ภาคเอกชนได้รับทราบ เพื่อวางแผนธุรกิจ” นายวิชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี