** ต้องจับตากระทรวงการคลังภายใต้รัฐมนตรีว่าการคนใหม่ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ หัวเรือใหญ่ความหวังของคนทั้งประเทศ ซึ่งภารกิจเร่งด่วนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการบริหารรายจ่ายและจัดเก็บรายได้เข้ารัฐในปีงบประมาณ 2564 ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ...และคงไม่มีใครปฏิเสธว่าในสภาพเศรษฐกิจถดถอย รัฐจำเป็นต้องอัดฉีดงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ วินัยทางการเงิน การคลังของรัฐ ซึ่งหากมีการกู้เงินครบวงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ก็คาดว่าจะทำให้หนี้สาธารณะมีสัดส่วนคิดเป็น 57% ของจีดีพี เกือบจะปริ่มกรอบ 60% ตามที่กำหนดไว้โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ดังนั้นกระทรวงการคลังจำต้องเริ่มพิจารณาแนวทางเพิ่มรายได้รัฐโดยเร็ว
หน่วยงานจัดเก็บภาษีทั้งกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ได้รับการบ้านจากกระทรวงการคลังให้ไปดูแลให้เก็บรายได้ปีงบประมาณ 2564 ให้เข้าเป้าโดยไม่ขึ้นภาษี! แต่...กระทรวงการคลังจะปล่อยแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน ถ้าพอเศรษฐกิจฟื้นแล้วมาขึ้นภาษีก็อาจจำต้องขึ้นภาษีแต่ละอย่างแบบก้าวกระโดดเพื่อชดเชยกับที่ไม่ได้ขึ้นภาษีมาหลายปีซึ่งก็จะทำให้เกิดภาวะ ช็อก! ภาระภาษีจะขึ้นกันแบบพรวดพราด ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแค่ปีละเล็กน้อย จะเดือดร้อนกันหลายภาคส่วน จนกลายเป็นประเด็นปัญหา ซึ่งมีบทเรียนจากเรื่องภาษียาสูบ ที่ท่านปลัดกระทรวงเองก็น่าจะรู้ดีเพราะเคยดูแลกรมสรรพสามิตมาก่อนในช่วงที่เก็บภาษียาสูบได้ลดลงตลอด ทั้งๆ ที่ขึ้นภาษียาสูบก้าวกระโดดเมื่อปี 2560
สมัยก่อนภาษียาสูบเคยสร้างเม็ดเงินรายได้ให้รัฐปีละกว่า 68,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 3% ของรายได้ทั้งหมดจาก 3 กรมจัดเก็บภาษีการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลังเคยส่งรายได้เข้ารัฐปีละกว่า 60,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึง 49,000 ล้านบาทเพราะกำไรหายวูบเนื่องจากการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตและการเก็บเพิ่มเติมภาษีมหาดไทยและภาษีผู้สูงอายุอีก 12% ของภาษีสรรพสามิต จนส่งผลให้ภาระภาษีต่อซองของบุหรี่ส่วนใหญ่ของ ยสท. ขายที่ราคาซองละ 60 บาท จนส่งผลให้กำไรต่อซอง เหลือไม่ถึงซองละบาท แม้ยังครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% ของตลาดบุหรี่ไทย และจากงบการเงินการของยาสูบฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 ปรากฏว่ารายได้รวมของการยาสูบฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 ก็ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งขายยิ่งรายได้ลดลง เพราะขายได้แต่บุหรี่ราคาถูกที่ 79% ของราคาขายปลีกต้องถูกนำส่งเป็นเงินภาษีเข้ารัฐ แต่ภาษียาสูบก็เก็บได้น้อยลงทุกปีตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา
เสียงเรียกร้องจากเกษตรกรชาวไร่ยาสูบและร้านค้าบ่นว่า พอเถอะ!อย่าขึ้นภาษีแบบก้าวกระโดดแบบนี้อีก...ทำให้กระทรวงการคลังตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษียาสูบไปเรื่อยๆ มา 2 ครั้งแล้ว ปีหน้า 2564 ถ้าจะทำเหมือนเดิมไม่ต้องคิดเยอะ ก็คงเลื่อนต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่ทว่า...จะทำแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ถ้าเลื่อนการขึ้นภาษีไปเรื่อยและอยู่ดีๆ ก็จะมาขึ้นภาษีพรวดพราดอีก เช่น จากอัตรา 20% ขึ้นไป เป็น 40% เลยก็คงเดือดร้อนกันซ้ำรอยเดิมเมื่อปี 2560 เพราะใช้นโยบายเดิมๆ
ทางเลือกหนึ่งที่มีหลายฝ่ายเริ่มพูดถึงกันมากขึ้นก็คือการค่อยๆ ขยับขึ้นภาษีทีละนิดไปเรื่อยๆ เอาให้มันพอเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขึ้นภาษีก้าวกระโดดอีก ซึ่งก็ได้ยินมาว่าในต่างประเทศเขาก็ใช้วิธีการนี้กัน รัฐก็จะเก็บรายได้เพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกันประชาชนนักสูบ ชาวไร่ยาสูบ ร้านค้า และการยาสูบฯ ก็จะได้ค่อยปรับตัว ยอดการบริโภคจะไม่ลดลงแบบฮวบฮาบ แต่จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ และหากโครงสร้างภาษีเอื้ออำนวย การยาสูบฯ ก็อาจมีรายได้มากขึ้นสามารถกลับไปนำส่งให้รัฐได้อีกครั้ง ช่วยบรรเทาภาระหนี้สาธารณะไปได้บ้างก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ที่ยกตัวอย่างกรณีภาษียาสูบ ก็เพราะเป็นเรื่องที่ยากและมีการพูดถึงแนวคิดใหม่ๆ นี้ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในการชี้ว่าการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้จำเป็นต้องคิดไอเดียใหม่ๆ จะยึดติดอยู่กับแนวทางเดิมๆ คงไม่ได้แล้ว ปีงบประมาณใหม่ ความท้าทายใหม่ๆ บุคลากรใหม่ๆก็ต้องมาพร้อมกับวิธีการและแนวทางใหม่ๆ ด้วย จึงจะพัฒนาการฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างยั่งยืน แต่ถ้าจะทำวิธีการเดิมๆ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป อนาคตเราก็คงยังย่ำอยู่กับที่ขณะที่บ้านอื่นเมืองอื่นเขาเดินหน้าไปกันแล้ว
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี