nn เหลือบไปเห็นคำสั่งของ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)ที่ให้แต่งตั้งคณะทำงานกำกับและติดตามการควบรวมกิจการของบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) และกสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ให้เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT Plc. เพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 และ 1 กันยายน 2563 ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในกลางเดือนมกราคม 2564 เลื่อนออกไปจากเดิมที่ต้องตั้งแต่กลางปี 2563 โดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ได้เห็นชอบแผนการควบรวมทีโอทีกับ กสท โทรคมนาคม หรือ แคทเทเลคอม ให้เป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT Telecom ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คนร.และรัฐบาลได้สั่งให้สองหน่วยงานลงขันจัดตั้งบริษัทลูกร่วมทุน 2 บริษัท คือ บริษัทโครงข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แห่งชาติ (NGN) และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ต (NGDC) ตามแผนการฟื้นฟูกิจการที่ดำเนินการมากว่า 3-4 ปี สุดท้ายกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! 2 กิจการที่ตั้งขึ้นมายังลูกผีลูกคน ไม่รู้จะให้ไปทำอะไรกันต่อดี
หนนี้จึงปรับเปลี่ยนแผนฟื้นฟูกิจการใหม่ ไปปัดฝุ่นแนวทางการควบรวมกิจการ กลับมาดำเนินการใหม่ ท่ามกลางข้อกังขาของผู้คนในสังคม รวมทั้งเหล่าพนักงานของทั้งสององค์กรที่วันนี้ยังคงสาละวนอยู่กับทิศทางในอนาคตข้างหน้า ภายหลังการควบรวมกิจการ “สุดพิสดาร”ที่ว่า สถานะของบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT Plc. จะเป็นอย่างไร จะสามารถแข่งขันกับบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมน้อยใหญ่ในตลาดและเป็นกลไก เครื่องมือของรัฐได้หรือไม่ หรือจะตกอยู่ใต้ชะตากรรมเดียวกับ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ฟื้นฟูกิจการภายใต้คำสั่งศาลล้มละลาย โดยคลังได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือบางส่วนออกไปจนต้องพ้นจากสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ และจ่อจะต้องตัด ขายกิจการบางประการออกไปรวมทั้งปรับลดพนักงานตามมาอีกบานเบอะไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า แผนฟื้นฟูกิจการรัฐวิสาหกิจทั้ง 6-7 แห่งที่กระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งมาในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานั้น ซึ่งก็รวมไปถึงแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีโอที และ กสท โทรคมนาคมหาใช่หลักประกันความสำเร็จอย่างที่ทุกฝ่ายเพรียกหากัน
ยิ่งเมื่อคลี่ลงไปถึงแผนควบรวมกิจการทีโอที-แคทที่รัฐบาลจัดมามัดตราสังให้จัดตั้งเป็น “บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ” หรือ NT Plc. ที่นัยว่า จะมีการแบ่งโครงสร้างออกเป็น 5 หน่วยธุรกิจ (BU) คือหน่วยธุรกิจบริการทางสายและโครงข่ายบรอดแบนด์ ,หน่วยธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ,หน่วยธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและบริการ, หน่วยธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และ หน่วยธุรกิจโครงข่ายระหว่างประเทศ พร้อมตั้งเป้าหมายที่จะรุกคืบเป็นผู้ให้บริการ IoT Connectivity ให้กับภาครัฐและอุตสาหกรรม 4.0 หลังจากที่สองหน่วยงานไปคว้าไลเซ่นส์ 5G กันมาคนละใบสองใบ โดยทีโอทีได้ไลเซ่นส์ 5G ย่านความถี่ 26.4-26.8GHz จำนวน 4 ใบ และ กสทฯ ได้ไลเซ่นส์ 5G ย่านความถี่ 700 MHz ใบจำนวน 2 ใบอนุญาต
แต่เมื่อกลับมาพิจารณาสถานะขององค์กรทั้งสองรัฐวิสาหกิจแล้ว ทุกฝ่ายก็ได้แต่เหนื่อยใจแทน เอาแค่พนักงานที่ทั้งสองแบกเอาไว้เต็มลำเรือ โดยที่ยังไม่มีแผนที่จะปรับลดพนักงาน หรือผ่องถ่ายพนักงานกระจายลงไปยังบริษัทลูก บริษัทร่วมทุนใดๆ นั้น เอาแค่จะให้ใคร Lead องค์กร จะต้องเป็นซีอีโอร่วม ตั้งผู้บริหารระดับรองกันยังไงก่อนจะออกไปแข่งขันกับบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมอื่นๆ เขาก็แทบจะเห็นเค้าลางความยุ่งเหยิงที่จะเกิดขึ้นแล้ว
สภาพของสองรัฐวิสาหกิจด้านด้านการสื่อสารวันนี้ ที่แทบไม่ต่างไปจากกิจการ ขสมก. ที่เผชิญกับการแข่งขันจากบรรดารถร่วมและบริการขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นๆ เต็มพรืดเต็มถนน วันดีคืนดีผู้ถือหุ้นใหญ่หรือคลังที่ไม่อยากแบกรับภาระลงทุนสองทาง จึงจับเอาสองหน่วยงานมา“มัดตราสัง” เป็นบริษัทเดียวกันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวจะได้จัดทัพปรับองคาพยพ ปรับลดบุคลากร ลดการลงทุนซ้ำซ้อนตามหลักเกณฑ์ M&A ที่สุดแต่จะบรรยายกันไป....แต่จะหลงเหลือกิจการใดให้อภิมหาบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติได้ทำบ้าง และรัฐจะเข้าไปเกื้อหนุนลงทุนอย่างไรบ้างนั้น กลับไร้คำตอบจริงๆ
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี