นางอรวดี โพธิสาโร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร บมจ.ปตท. เปิดเผยว่าปตท.ตั้งเป้าใช้งบประมาณลงทุนเบื้องต้นในปี 2564 มากกว่าระดับปกติที่มีการลงทุนประมาณปีละ 80,000 ล้านบาท เนื่องจากมีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่เพื่อหาโอกาสในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง และมีแนวโน้มเติบโต เช่น การเข้าสู่ธุรกิจวิทยาศาสตร์ชีวภาพ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการโรงงานผลิตยาในต่างประเทศ โซนเอเชีย คาดว่าจะสรุปได้ในปี 2564
ขณะเดียวกัน ปตท.เตรียมเดินหน้าลงทุนในธุรกิจใหม่ (นิว เอ็นเนอจี) จากปัจจุบันที่ร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตยารักษามะเร็ง กับองค์การเภสัชกรรม ซึ่งจะครอบคลุมในธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้มากขึ้น เช่น การขนส่งโลจิสติกส์ สุขภาพ-อนามัย ดิจิทัลแพลตฟอร์ม สมาร์ทแพลตฟอร์ม ซึ่งจะต้องมีการทำร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อให้เกิดศักยภาพการลงทุนที่ดีที่สุด
นอกจากนี้จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีด้านพลังงาน เช่น กริด เน็ตเวิร์ก รวมถึงธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) และโรงงานแบตเตอรี่ต้นแบบ เพื่อต่อยอดตั้งโรงงานรถอีวีในอนาคตด้วย นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างหาผู้รับเหมาก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่(แห่งที่ 7) ในประเทศ เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซฯ แห่งที่ 1 คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท เริ่มการก่อสร้างในปี’64 และก่อสร้างเสร็จในปี’66
นางอรวดีกล่าวว่า ปตท. จึงวางแผนเริ่มศึกษาในภาคอุตสาหกรรมแบตเตอรี่เพื่อใช้ในรถอีวีนอกเหนือจากการเดินหน้าทำสถานีประจุไฟฟ้า(ชาร์จจิ้ง สเตชั่น) ซึ่งต้องติดตามปริมาณการใช้รถอีวีในอนาคตว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับการลงทุนขณะเดียวกันยังเตรียมจะศึกษาระบบกักเก็บพลังงาน(เอนเนอร์ยี่ สตอเรจ) โดยให้บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซิน หรือจีพีเอสซี ดำเนินการศึกษาทั้งแนวโน้นตลาดและแนวทางการดำเนินงาน
นอกจากนี้ ปตท. ยังสนใจที่จะเข้าร่วมผลิตรถอีวี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันอุตสาหกรรมดังกล่าวให้เกิดขึ้นในประเทศไทย กระตุ้นให้เกิดการใช้และการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่วน ทิศทางความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกคาดว่าจะลดลงในช่วงปี 2573 หรือในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ด้าน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. คาดว่ารายได้ปีหน้าของปตท. มีแนวโน้มดีขึ้นจากปีนี้ หลังจากราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในกรอบ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในทิศทางที่สูงขึ้นแต่ไม่มากนักจากเฉลี่ย 41-42 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ และปริมาณขายที่น่าจะเพิ่มขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวหลังนายโจ ไบเดน คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธาธิบดีสหรัฐ และหากมีวัคซีนต้านโควิด-19 ออกมาใช้ก็จะทำให้สถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง โดยคาดการณ์ปีหน้าราคาน้ำมันดิบอยู่ในกรอบ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะใช้เป็นสมมุติฐานสำหรับการจัดทำงบประมาณและแผนงานและจะนำแผนงานและงบลงทุน 5 ปี (ปี 2564-68) เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการปตท.ในเดือนธันวาคมนี้
ส่วนผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐน่าจะทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนผ่อนคลายลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี