‘นายกฯ-จุรินทร์’ ควงแขนประชุม RCEP เปิดโอกาสไทยส่งออกสินค้าเกษตร-บริการ สู่ตลาดใหญ่ของโลก พร้อมอ้าแขนรับ ‘อินเดีย’ ร่วมวงเจรจา
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ครั้งที่ 4 (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมนอกเหนือจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 ผ่านระบบประชุมทางไกล
ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการรับฟังรายงานผลความสำเร็จของการเจรจาและร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลง RCEP ร่วมกับผู้นำและผู้แทนของประเทศสมาชิก RCEP ทั้ง 15 ประเทศ และสมาชิก RCEP ได้แสดงเจตจำนงที่จะลงนามในความตกลง RCEP โดยยินดีที่ได้เห็นถึงความพยายามของประเทศสมาชิกในการเจรจาร่วมกันมาตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี ซึ่งความตกลง RCEP ถือเป็นการส่งเสริมการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นการส่งสัญญาณให้ทั่วโลกได้เห็นถึงความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถ้อยแถลงว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่การประชุมครั้งนี้สามารถสรุปผลการเจรจาร่วมกันได้ และจะได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม RCEP ซึ่งถือเป็นความตกลงการค้าเสรีฉบับประวัติศาสตร์ โดยทราบดีว่าประเทศสมาชิกต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เนื่องจากความแตกต่างของระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และความอ่อนไหวที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ และล่าสุดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นายกฯเน้นย้ำว่า ความตกลง RCEP เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีคุณภาพ มาตรฐานสูง และมีนัยสำคัญต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขันและผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของทุกประเทศ พร้อมเชื่อว่า การรวมตัวกันของประเทศสมาชิกจะเสริมสร้างให้ภูมิภาค RCEP มีสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและดึงดูดการค้าการลงทุนจากทั่วโลก ทำให้ประเทศสมาชิกมีความสามารถและความยืดหยุ่นในการรับมือกับปัญหาความท้าทายทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นในอนาคต รวมทั้งจะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปสู่การค้าที่เสรีมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิภาคและประชาชนของพวกเราได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยั่งยืนต่อไป
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมพิธีลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยผู้แทนจาก 15 ประเทศ ในส่วนของไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ลงนาม และนายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในการลงนาม
ทั้งนี้ ในเวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมพิธีปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 โดยในพิธี นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้กล่าวถ้อยแถลง และส่งมอบค้อนประธานอาเซียนให้แก่ เอกอัครราชทูตบรูไนประจำเวียดนาม และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ทรงกล่าวถ้อยแถลงตอบ
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมการประชุมผู้นำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครั้งที่4 ว่า การประชุมวันนี้จะมีผู้หารือประกอบไปด้วย กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ และมีประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อีก5 ประเทศเป็นกลุ่มการตกลงทางการค้าการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีมูลค่าการค้า หรือจีดีพี ถึงหนึ่งในสามของโลก และตลอดเวลา8ปีที่ผ่านมาได้มีความพยายาม แล้วจนการเจรจาประสบผลความสำเร็จทั้ง20 ข้อบท เมื่อปี 2562ที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน สำหรับประเทศอินเดีย ที่ไม่ได้เข้าร่วมในครั้งนี้ ในอนาคตเมื่อประเมินสถานการณ์เห็นว่ามีความเหมาะสมแล้วก็สามารถเข้าร่วมหารือได้ และทั้ง15 ประเทศ ก็ยินดีต้อนรับให้เข้าร่วมในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตามทั้ง15 ประเทศ ที่มีอยู่ถือเป็นตลาดใหญ่มากแล้วควบคุมทั้งจีดีพีและมีประชากรถึงหนึ่งในสามของโลกแล้ว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับในการลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจฯคือเราจะเปิดตลาดการค้าการลงทุนได้ในอีก 14 ประเทศ ในการส่งออกสินค้าและบริการ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง สับปะรดสินค้าประมง อาหารแปรรูป น้ำส้ม น้ำมะพร้าว รวมถึงหมวดสินค้าอุตสาหกรรม เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้าพลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ รถจักรยานยนต์ และหมวดบริการ ได้แก่ การก่อสร้าง ธุรกิจสุขภาพ ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี