"คมนาคม"กางแผนปี64 เร่งเดินหน้างานเพิ่ม 11 โครงการ พร้อมสานต่อนโยบายพัฒนาโครงข่ายคมนาคม
เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวในการแถลงนโยบายการดำเนินการปี 2564 ของกระทรวงคมนาคม ว่าในปีการดำเนินการปี 2564 จะมีการสานต่อการดำเนินการจากปี 2563 เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติใน 7 เรื่อง ได้แก่ 1) เร่งผลักดันการปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและปัญหามลพิษในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 2) เร่งจัดทำ Taxi Application เพื่อทดแทนเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของระบบ Taxi 3) เร่งพัฒนาระบบตั๋วร่วมให้สามารถใช้บัตรโดยสารเชื่อมโยงรถไฟฟ้าทุกระบบ 4) เร่งรัดพัฒนาการบริการรถ ขสมก. และการนำระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-ticket) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ 5) เร่งพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางราง 6) เร่งผลักดันการขนส่งสินค้าทางน้ำจากท่าเรือบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปท่าเรือแหลมฉบัง และ7) เร่งพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคเป็นศูนย์รวบรวมผลผลิตและกระจายสินค้าเกษตรหรือสินค้าเน่าเสียง่ายออกสู่ตลาด
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมจะมีการเร่งโครงการต่างๆในปี 2564 ให้เป็นรูปธรรมได้แก่ โครงการศึกษาแผนแม่บท MR-MAP ทั้ง 9 เส้นทาง เบื้องต้นจะเริ่มนำร่องจำนวน 3 เส้นทาง อาทิ เส้นทางชุมพร-ระนอง 120 กม. เส้นทางกาญจนบุรี-ตราด ระยะทาง 220 กม. และเส้นทางหนองคาย-แหลมฉบัง ระยะทาง 490 กม.เป็นแนวเส้นทางที่คู่ขนานกับแนวเส้นทางรถไฟไทย-จีน (กรุงเทพ-หนองคาย) โดยคาดว่าภายในไตรมาส 2 ของปี 2564 จะลงนามสัญญาเพื่อศึกษาออกแบบโครงการฯ ซึ่งจะศึกษาให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 โดยใช้วงเงินจากกองทุนมอเตอร์เวย์ ขณะเดียวกันจะต้องรอดูบริษัทผู้รับจ้างศึกษาออกแบบและลงพื้นที่สำรวจโครงการก่อนเพื่อให้สามารถวางแผนการพัฒนามอเตอร์เวย์ให้สอดคล้องไปกับการขยายโครงข่ายรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ จะศึกษาแผนโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (Land Bridge) โดยการพัฒนามอเตอร์เวย์ควบคู่กับรถไฟทางคู่ เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือน้ำลึกที่จังหวัดชุมพรกับจังหวัดระนอง เพื่อลดเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้า เชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้กับการขนส่งและโลจิสติกส์
ขณะที่การแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนทางด่วน นอกจากการผลักดันใช้ระบบ M-Flow ในการผ่านทางด่วนแล้ว ทำการเร่งรัดแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนทางด่วน โดยทำการปรับปรุงโครงข่ายทางทางพิเศษและมอเตอร์เวย์จำนวน 4 เส้นทาง ได้แก่ 1. มอเตอร์เวย์ช่วงศรีนครินทร์ - สุวรรณภูมิ 2. ถนนประเสริฐมนูกิจ-งามวงศ์วาน 3. ทางด่วนขั้นที่ 1 ต่างระดับอาจณรงค์ และ 4. ทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสะพานพระราม 9 - พระราม 2 เพื่อลดความแออัด และเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้แก่ประชาชน สำหรับแผนฟื้นฟูองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) หากเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ทันตามแผนที่วางไว้จะสามารถดำเนินการแยกแผนบางส่วนออกมาดำเนินการก่อนได้หรือไม่นั้น เรามองว่าสามารถดำเนินการได้ แต่ทางกระทรวงคมนาคมต้องการดำเนินการแก้ปัญหา ขสมก.ทั้งระบบเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันควรดำเนินการให้ครอบคลุมสมบูรณ์เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง โดยได้มีการเร่งรัดว่าภายในเดือน ม.ค.2564 จะต้องได้ข้อสรุปรวมถึงการนำแผนปฏิรูปเส้นทางที่เหลือ 169 เส้นทาง เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คาดว่าประมาณเดือน ก.พ.2564 จะสามารถเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หากแผนฟื้นฟูฯขสมก.ผ่านการพิจารณาจาก ครม.แล้ว จะยึดแผนดังกล่าวนำไปใช้กับหน่วยงานอื่นๆ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
รวมถึงการเร่งแก้ปัญหาการจราจรในจังหวัดภูเก็ต โดยบูรณาการโครงข่ายทางพิเศษสายกะทู้- ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กับโครงข่ายทางหลวงแนวใหม่ สายเมืองใหม่ - เกาะแก้ว ระยะทาง 22.4 กม. ของกรมทางหลวง (ทล.) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางท่องเที่ยวจากท่าอากาศยาน จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ และจ.พังงา เข้าสู่ตัวเมืองภูเก็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดความแออัดบนทางหลวงหมายเลข 402 รวมทั้งการวางระบบติดตามโครงการขนาดใหญ่ เพื่อบูรณาการการบริหาร สั่งการติดตามผล และแก้ไขปัญหาในการดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่ - กาญจนบุรีโครงข่ายรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - นครราชสีมา ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ มิติการประชาสัมพันธ์ มิติการเร่งรัดการก่อสร้าง มิติการบริหารจราจร และมิติการบริหารพื้นที่ร่วมกับโครงการอื่น ขณะที่ในส่วนของการพัฒนาระบบตั๋วรถไฟฟ้าข้ามระบบนั้นปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับสถาบันการเงินเพื่อดำเนินการใช้ตั๋วข้ามระบบ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าเกิดปัญหาเรื่องของผู้ประกอบการยังไม่ยอมที่จะเข้าระบบ เนื่องจากติดปัญหาด้านการลงทุนเนื่องจากจะต้องลงทุนประมาณ 200 - 300 ล้านบาท คาดว่าจะลงนามสัญญาร่วมกับสถาบันการเงินได้ภายในไตรมาส 2 ของปี 2564 โดยจะพัฒนาระบบตั๋วร่วมแล้วเสร็จภายในปี 2564 อย่างไรก็ตามกระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2564 ประมาณ 270,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่นั้น จะต้องมีการตั้งงบประมาณศึกษา ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดบึงกาฬ เนื่องจากอยู่บริเวณที่เหมาะสมจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ นอกจากนี้ ในส่วนความคืบหน้าของการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตงนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบเรื่องของการนำร่อนของเครื่องบิน หากแล้วเสร็จขั้นตอนต่อไปก็จะเสนอขอใบอนุญาตทำการบิน ซึ่งภายในปี 2564 จะต้องเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะก่อสร้างท่าอากาศยานใหม่ที่ภาคใต้เพิ่มเติม ประกอบด้วย ท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2 ขณะนี้ได้นำเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณา ส่วนที่จังหวัดพัทลุงอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ และที่ จ.สตูล อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อดำเนินการต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี