นายณัฐวุฒิ ไพศาลวิภัชพงศ์ กรรมการบริษัท คาร์โฟร์ชัวร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง “เว็บไซต์ Car4sure” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขายรถยนต์มือสองชื่อดังระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มือสอง
ภายใต้ชื่อ“19 ศรีปกรณ์”ที่มีประสบการณ์ด้านรถมือสองมากว่า 30 ปี เปิดเผยถึงธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว หรือ ธุรกิจรถยนต์มือสอง กับตลาดรถอีวี (EV) หรือ รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ว่า
จากกระแสความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเทคโนโลยียานยนต์ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา อย่างที่เราทราบกันดีว่ากำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันไปสู่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักจะเห็นได้ว่าในตลาดรถยนต์มือหนึ่งนั้นเริ่มมีการนำรถยนต์โมเดลใหม่ๆ หลายๆ รุ่นเข้ามาทำการตลาดในไทยได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ในตลาดรถมือสองนั้นคนไทยเพิ่งจะเริ่มคุ้นชินกับรถยนต์ที่ใช้ระบบเครื่องยนต์น้ำมันร่วมกับแบตเตอรี่ไฟฟ้าทั้งแบบที่ เรียกว่า Hybrid หรือ Plug-In Hybrid เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง
แต่ถ้าหากจะหมายรวมถึงรถยนต์ที่เป็นระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบ 100% หรือ EV นั้น ต้องยอมรับว่ายังค่อนข้างใหม่เกินกว่าที่รถยนต์ประเภทดังกล่าวจะเข้าสู่ตลาดรถยนต์มือสองในปีนี้ หรือ แม้กระทั่งปีหน้า แต่ในเว็บไซต์ Car4sure ซึ่งเป็นเว็บไซต์ รวมดีลเลอร์ หรือ ผู้จำหน่ายรถมือสองระดับคุณภาพชั้นนำเองก็มีดีลเลอร์ที่นำเข้ารถยนต์ประเภท EV ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้ามาจำหน่ายแล้วเช่นกัน หากแต่เป็นรถยนต์ใหม่ป้ายแดงซึ่งนำเข้า และจำหน่ายโดยดีลเลอร์ “รถบ้านคุณฉัตรชัย”ภายใต้ชื่อ EMPEROR AUTO IMPORT ซึ่งนำเข้ามาทำ การตลาดหลายรุ่น เช่น TESLA Model3, NISSAN LEAF, NISSAN KICK ซึ่งทำให้เห็นว่า ผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วก็ให้ความสำคัญกับการยกระดับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และพร้อมสนับสนุนเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่แพ้ค่ายรถชั้นนำ และผู้ประกอบการรถป้ายแดงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จากสถิติยอดขายในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าทัศนคติของคนไทยที่เล่นรถมือสอง ยังคงมีทัศนคติด้านลบเกี่ยวกับรถยนต์ที่เป็นระบบกึ่งไฟฟ้า หรือ Hybrid อยู่มาก เนื่องจากความกังวลในเรื่องการซ่อมบำรุง และราคาค่าอะไหล่โดยเฉพาะค่าแบตเตอรี่ ทำให้ราคารถยนต์ระบบ Hybrid ที่เป็นมือสองนั้นร่วง
ค่อนข้างเร็ว และมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่า รถยนต์ระบบน้ำมัน
เมื่อเข้าสู่ตลาดรถมือสอง ซึ่งโดยปกติแล้วราคารถยนต์ Hybrid ก็จะลดลงในสัดส่วนเดียวกับรถน้ำมัน เพียงแต่ราคาจะต่ำกว่าราคารถที่เป็นระบบน้ำมันลงไปอีกประมาณ 10-20% ในแต่ละรุ่นซึ่งถ้าให้เรามองอนาคตในเรื่องของราคารถยนต์ EV เมื่อเป็นรถมือสองแล้วก็คิดว่าน่าจะออกมาในลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ ราคาน่าจะต่ำกว่ารถยนต์ระบบน้ำมันประมาณ 10-20% ในแต่ละรุ่นเช่นกันซึ่งเราเองก็คิดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่กลุ่มคนที่เล่นรถมือสอง จะเริ่มคุ้นชินกับรถยนต์ระบบไฟฟ้าทั้งแบบ EV, Hybrid, Plug-In Hybrid แต่อย่างไรก็ยังคิดว่าในที่สุดราคามือสองในประเภทของรถยนต์ระบบไฟฟ้าจะไม่ได้แตกต่างจะรถยนต์ทั่วไปมากนัก ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระยะเวลาในการชาร์จไฟ, ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง รวมถึงความพอเพียงของสถานีชาร์จไฟทั่วประเทศ
ส่วนในประเด็นของสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ทำไว้ใช้สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (ชาร์จจิ้ง สเตชั่น) ในปัจจุบันมีเพียงพอหรือไม่นั้นก็ต้องขอบอกว่าก็อย่างที่เรียนให้ทราบว่าการที่จะทำให้คนไทยคุ้นชินกับรถยนต์ระบบไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระยะเวลาในการชาร์จไฟ, ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง รวมถึงความพอเพียงของสถานีชาร์จไฟทั่วประเทศ ดังนั้น จำนวนสถานีชาร์จไฟฟ้ายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตในไทยได้ ซึ่งสถานีชาร์จที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2,000-3,000 แห่ง ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ขณะนี้อาจจะเพียงพอสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะครอบครองรถยนต์ EV แต่ในอนาคตยังคงต้องทยอยเปลี่ยนจากสถานีเติมน้ำมันเป็นสถานีชาร์จไฟฟ้า หากต้องการให้ตลาดรถยนต์ EV เติบโตในไทยซึ่งแน่นอนกับชาร์จจิ้ง สเตชั่น ควรจะต้องมีเพิ่มขึ้นให้มากกว่านี้นั่นเอง
นายณัฐวุฒิ กล่าวในตอนท้ายว่า ผมเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ การเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในหลายๆ ด้าน
เช่น ลดมลพิษทั้งทางอากาศ และเสียง, ลดปริมาณการใช้ทรัพยากรน้ำมัน,ลดปริมาณขยะ, ลดภาวะโลกร้อน ร่วมถึงอาจลดปัญหาการจราจรในกรณีที่มีการพัฒนาระบบ Autonomous Car หรือ รถยนต์ไร้คนขับในอนาคต ซึ่งก็แต่หวังว่าทางภาครัฐจะเล็งเห็นถึงความสำคัญ และรีบคว้าโอกาสในการปรับตัวเรื่องนี้ เช่น ออกมาตรการช่วยเหลือด้านภาษีเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย รวมถึงผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอะไหล่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และพยายามเพิ่มปริมาณสถานีชาร์จไฟฟ้าในไทย ซึ่งเราเองยังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยี และองค์ความรู้จากต่างประเทศค่อนข้างมาก ก็คิดว่า ควรจะใช้มาตรการด้านภาษีเป็นหลัก เพื่อส่งเสริมให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในเรื่องนี้ครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี