นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม2563 อยู่ที่ 85.8 ลดลงจากเดือนก่อนอยู่ที่ 87.4เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน เนื่องจากปัจจัยลบจากการระบาดของโควิด-19รอบใหม่ ที่มีความรุนแรงกว่ารอบแรก และขยายวงกว้างไปในหลายจังหวัด ส่งผลให้ภาครัฐออกคำสั่งปิดสถานที่บางแห่งและกำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดในจังหวัดที่มีการระบาดสูงรวมทั้งงดจัดกิจกรรมปีใหม่ และขอความร่วมมือประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด รวมถึงขอให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนและข้าราชการทำงานที่บ้าน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
“จากมาตรการที่เข้มงวดทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอลง ทั้งการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและการเดินทางท่องเที่ยวลดลงส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการลดลงโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี อีกทั้งการขนส่งสินค้าข้ามจังหวัดยังล่าช้า ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ส่งออกสินค้าได้น้อยทำให้สูญเสียรายได้จากการส่งออกรวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นปัจจัยเสี่ยงกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ ประกอบกับในเดือนธันวาคมมีวันทำงานน้อย เนื่องจากมีวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ทำให้ภาคการผลิตลดลงจากเดือนก่อนหน้า”นายสุพันธุ์กล่าว
ขณะที่ดัชนีคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลงอยู่ที่ 92.7 จากเดิม 94.1 เนื่องจากยังกังวลต่อความไม่แน่นอนของโควิด-19 เศรษฐกิจไทยและโลกยังฟื้นตัวช้า ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนเพื่อรับมือโควิด-19 รอบใหม่มากขึ้น
นายสุพันธุ์กล่าวว่าส.อ.ท.มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ขอให้ภาครัฐเร่งควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง บังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและประเทศคู่ค้า เกี่ยวกับความปลอดภัยในสินค้าอาหารของไทย โดยขอให้เร่งออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ทั้งผู้ประกอบการ และประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น จัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราวตามคำสั่ง หรืออาจพักชำระหนี้ชั่วคราว เป็นต้น
นอกจากนี้ ส.อ.ท.มีข้อเสนอเพิ่มเติม4 ข้อ จากที่คณะกรรมาธิการเสนอแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟต์โลน) 5 แสนล้านบาท โดย1.ขอไม่จำกัดวงเงินกู้แต่ให้พิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการเป็นรายๆ ไป จากที่คณะกรรมาธิการเสนอกรณีขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากยอดหนี้เดิมได้ไม่เกิน 30% ของยอดสินเชื่อ และกรณีลูกค้าไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินกู้ได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท
2.ขอให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 5%ต่อปีในระยะ 5 ปีแรก 3.ขอให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำลง 1% 4.ขอให้ปรับการจัดลำดับการตัดชำระหนี้โดยให้ตัดจากเงินต้นก่อน เพื่อปรับลดจำนวนหนี้ให้แก่ผู้ประกอบการ
ขณะเดียวกันเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีวงเงินสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ขยายเวลาให้สถาบันการเงินยื่นกู้ขอวงเงินได้คราวละ 6 เดือน จนกว่าเงินจะหมด และชดเชยความเสียหายไม่เกิน 80%ของลูกหนี้แต่ละราย และสถาบันการเงินชำระคืนเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใน 5 ปี
ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือประชาชน เสนอให้เพิ่มวงเงินใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งเป็น 5,000 บาท ขยายระยะเวลาโครงการ และสนับสนุนให้มีโครงการคนละครึ่งเฟส 3ขยายจำนวนสิทธิผู้ได้รับสนับสนุนให้มีโครงการช้อปดีมีคืนในปี 2564 เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนในกลุ่มที่ต้องเสียภาษีโดยคืนภาษีจากเดิมสูงสุด 30,000 บาท เป็น 50,000 บาท เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 2564 ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี