นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในปี 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 29,487 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 9,240 ล้านบาท หรือ 23.86% ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ธนาคารและบริษัทย่อยใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9,536 ล้านบาท หรือ 28.04% ซึ่งเป็นการตั้งสำรองฯ ตั้งแต่ในครึ่งแรกของปี 2563 เป็นจำนวน 32,064 ล้านบาท เนื่องจากความไม่แน่นอนในระดับสูงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลกระทบที่รุนแรงทั้งในและต่างประเทศ อันเป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน รวมทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการของทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้า
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในครึ่งปีหลังที่มาตรการช่วยเหลือลูกค้าทยอยสิ้นสุดลง ลูกค้ายังสามารถผ่อนชำระได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งในปลายไตรมาส 4 มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ก็ตาม ธนาคารได้มีการทบทวนประเมินความเพียงพอของสำรองฯ พบว่าการตั้งสำรองฯในสามไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่เพียงพอแล้ว ธนาคารจึงพิจารณาตั้งสำรองฯ ในไตรมาส 4 ในระดับที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงสามไตรมาสของปี โดยเมื่อรวมการตั้งสำรองฯ ในปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น43,548 ล้านบาท ถือเป็นระดับที่สามารถรองรับความเสียหายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 3,658,798 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 364,909 ล้านบาทหรือ 11.08% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อ
นายสุธีร์ โล้วโสภณกุล รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานของธนาคาร และบริษัทย่อยที่ยังมิได้ตรวจสอบ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีรายได้ 14,927.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167.6 ล้านบาท หรือ 1.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปี 2562 สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น 153.6% ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 5.6% และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลง 39.9% กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 12.0% เป็น 6,027.8 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ 1.1% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 5.1%
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิลดลง 727.2 ล้านบาทหรือ 36% เป็น 1,290.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีเดียวกันสาเหตุหลักเกิดจากสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 60% ซึ่งสะท้อนถึงการตั้งสำรองที่สูงขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและโอกาสที่คุณภาพสินเชื่อของลูกค้าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในจำนวนนี้ธนาคารได้คำนึงถึงการคาดการณ์ล่วงหน้าของโมเดลการวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) และการตั้งสำรองเพื่อรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคที่ถดถอยผ่านกระบวนการ management overlayภายใต้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี