นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่าเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ติดลบ 4.2% ชะลอตัวจากติดลบ 6.4% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 และเมื่อรวมทั้งปี 2563 เศรษฐกิจไทยติดลบ 6.1% มากที่สุดในรอบ 22 ปี หรือนับจากวิกฤติต้มยำกุ้ง โดยมาจากปัจจัยการระบาดของไวรัสโควิด-19
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 2.5-3.5% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.5-4.5% การปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงจากเดิม มีสาเหตุหลักจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศตั้งแต่ปลายปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรกในปีนี้ ขณะที่ปัจจัยทางการเมือง เชื่อว่าไม่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากนัก เพียงแต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพราะมีผลถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“การรักษาบรรยากาศทางการเมืองให้มีเสถียรภาพ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเป็นสิ่งจำเป็น ขณะเดียวกันก็ต้องรณรงค์ให้คนไทยเที่ยวไทยมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19คลี่คลายและหันมาใช้สินค้าไทยมากขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณความต้องการสินค้าในภาคการผลิตให้มากขึ้น” นายดนุชากล่าว
ส่วนปัจจัยสนับสนุนสำคัญประกอบด้วย (1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ (3) การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ และ (4) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ.จะขยายตัว 5.8% การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัว 2.0% และ 5.7% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.0-2.0% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.3% ของจีดีพี
ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงปี 2564 รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับ
(1) การควบคุมการแพร่ระบาดและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงภายในประเทศ โดยดำเนินการตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และการจัดหาและบริหารจัดการวัคซีนให้ครอบคลุมทั่วถึงและเพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างรวดเร็วและจัดลำดับความสำคัญโดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการรักษาความต่อเนื่องของการผลิตในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศควบคู่ไปกับการจัดลำดับความสำคัญตามหลักการทางสาธารณสุข
(2) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ
(3) การดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัวโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องซึ่งการฟื้นตัวยังมีข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศรวมทั้งการพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพิ่มเติม (4) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจาก
การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
(5) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเพื่อสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศ โดย การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดของโรค การสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของสินค้าไทยควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคในพื้นที่ฐานการผลิตสำคัญอย่างเข้มงวด การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือที่สำคัญ การลดต้นทุนการผลิตสินค้าที่สำคัญๆ เพื่อลดแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท และการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
(6) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนโดยเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2561 -2563ให้เกิดการลงทุนจริง แก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ ส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(7) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
(8) การเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและการดูแลรายได้เกษตรกร และ
(9) การติดตามและเตรียมการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี