“เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)” หมายถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการทำงานหรือธุรกิจ ซึ่งด้านหนึ่งเป็น“ความหวัง” โดยเฉพาะกับรายย่อยที่มีความคิดสร้างสรรค์เพราะไม่ต้องใช้เงินทุนสูงเหมือนการก่อตั้งกิจการแบบดั้งเดิม รวมถึงเกิดงานรูปแบบใหม่ๆ แต่อีกด้านหนึ่ง “ผลกระทบ”ก็มีเช่นกัน ดังที่มีการกล่าวถึงในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “เศรษฐกิจดิจิทัลกับทุนนิยม(ใหม่?)” จัดโดย STS Cluster Thailand เมื่อเร็วๆ นี้
อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ นักวิจัยด้านแรงงาน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงคำว่า “สตาร์ทอัพ(Startup)” ที่หลายคนมักเข้าใจว่าหมายถึงธุรกิจประเภทล้ำสมัยไฮเทค แต่จริงๆ แล้ว “สตาร์ทอัพหมายถึงวิธีการระดมทุนรูปแบบหนึ่ง” และในต่างประเทศก็ใช้วิธีนี้กันมานานแล้ว โดยเมื่อมีผู้นำเสนอความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา นักลงทุนทั้งที่เป็นบุคคลและองค์กรจะดูความเป็นไปได้ หากพิจารณาแล้วว่าแนวคิดนั้นสามารถทำได้จริงก็จะสนับสนุนเงินทุนให้ วิธีการเช่นนี้ช่วยให้ผู้มีความคิดริเริ่มไม่ต้องไปหากู้เงินจากแหล่งต่างๆ มาใช้ดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม “วิธีการระดมทุนแบบสตาร์ทอัพมักเกิดปัญหาความเป็นเจ้าของ (Ownership) ตามมา เพราะบรรดาผู้ที่เข้ามาร่วมหุ้นมักต้องการผลกำไรจากหุ้นมากกว่ารอเงินปันผลจากรายได้ของกิจการ” สิ่งที่นักลงทุนสนใจจึงเป็นมูลค่าของบริษัทมากกว่าความสามารถในการทำกำไร หรือก็คือสนใจว่าคนภายนอกมองบริษัทนั้นว่าเป็นอย่างไรมากกว่าสนใจว่าบริษัทนั้นจะทำกำไรได้จริงหรือไม่ ทำให้กลายเป็นว่าเมื่อธุรกิจสตาร์ทอัพถูกนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ จำนวนไม่น้อยประสบภาวะขาดทุนจนต้องล้มหายตายจากไป
“2-3 ปีก่อน เราเห็นแอปพลิเคชั่นจักรยาน ที่เชียงใหม่มีสีส้ม กรุงเทพฯ มีสีเหลือง พอเข้าตลาดเจ๊งเลย อันนี้เป็นกิจการจากเมืองจีน แล้วคนที่เอาเงินไปลงทุนรอบหลังๆ เขาก็แทบไม่ได้อะไร แต่คนที่ลงทุนรอบแรกๆ แล้วก็ได้กำไรตั้งแต่การขายหุ้นรอบแรกๆ เขาก็กอบโกยไปแล้วตอนที่ขาย IPO (InitialPublic Offering : หุ้นที่เปิดขายครั้งแรก) แล้วทรัพย์สินที่บริษัทพวกนี้มีโดยมากจะเป็นทรัพย์สินที่ไม่สามารถเอาไปขายเพื่อจะเอาเงินมาคืนนักลงทุนได้” อรรคณัฐ ยกตัวอย่าง
อรรคณัฐเล่าต่อไปถึงประสบการณ์ที่เคยทำงานวิจัยเรื่องผลกระทบของแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการมาของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ซึ่งพบว่า “เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม (Platform Economy) ทำให้ไม่รู้แล้วว่าตกลงใครเป็นายจ้างและใครเป็นลูกจ้าง” เช่น แอปพลิเคชั่นมอเตอร์ไซค์รับ-ส่งอาหาร เมื่อคนคนหนึ่งกดสั่งอาหารผ่านแอปฯ ก็จะมีคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อจากร้านค้ามาส่งให้ถึงบ้านหรือที่ทำงาน คำถามคือใครเป็นนายจ้างของคนขี่มอเตอร์ไซค์ส่งอาหาร ระหว่างบริษัทที่เป็นเจ้าของแอปพลิเคชั่นหรือบุคคลที่ใช้บริการสั่งอาหาร
“แพลตฟอร์มก็บอกว่าคนสั่งอาหารเป็นนายจ้าง คนที่เอาอาหารมาให้คือผู้รับจ้าง เป็นสัญญาการจ้างงานสั้นๆ เป็นครั้ง(Gig Work) ส่วนตัวบริษัทเป็น Technology Company (บริษัทเทคโนโลยี) Provide Infrastructure (จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน) ที่มัน Matching (จับคู่) กันเฉยๆ แล้วเขาก็เก็บค่าบริการจากผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง อันนี้คือจุดยืนในความเป็นจริงสภาพการทำงานมันไม่ได้เป็นลักษณะที่ตัวเขาเป็นพื้นที่ในการให้เรามาเจอกันเฉยๆ
แต่มันเป็นลักษณะเข้าไป Command (บังคับบัญชา) หรือเข้าไปสั่งคนทำงาน หรือผู้รับจ้างที่เขาเรียกว่า Partner (หุ้นส่วน) คุณต้องทำแบบนี้ 1 2 3 4 มีระบบการให้คุณให้โทษทำให้เขาจริงๆ มีสภาพการทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างของแพลตฟอร์ม แต่ด้วยรูปแบบการจ้างแบบนี้มันยังไม่ได้ถูก Recognize(รับรอง) โดยกฎหมายแรงงาน มันก็เลยเกิดปัญหา เกิดสุญญากาศของการกำกับดูแล ลามไปถึงเรื่องอื่น ถึงการคุ้มครอง
สภาพการทำงาน รูปแบบการทำงาน ลามไปถึงหลักประกันทางสังคมอื่นๆ หลักประกันทางสุขภาพ” อรรคณัฐ ระบุ
อรรคณัฐยังกล่าวอีกว่า เมื่อถามคนทำงานกับแพลตฟอร์ม ช่วงแรกๆ คนเหล่านี้มักภูมิใจในความเป็นอาชีพอิสระสามารถเลือกเวลาทำงานได้ แต่เมื่อชวนคุยแบบเจาะลึกเช่น คนคนหนึ่งมีเวลาว่างตอน 18.00-20.00 น. แต่แพลตฟอร์มไม่มีงานให้ทำในเวลานั้นก็เท่ากับไม่ได้ทำงานและไม่มีรายได้ เช่นเดียวกับการเลือกสถานที่ทำงาน หากเวลาที่พร้อมนั้นไม่มีสถานที่ทำงานที่สะดวกในการเดินทาง (อาทิ ไม่ไกลจากบ้านมากนัก) ก็ทำให้เริ่มฉุกคิดได้ว่าตกลงแล้วตนเองมีอิสระในการเลือกเวลาและสถานที่ทำงานจริงหรือเปล่า?
นอกจากนี้ บางแพลตฟอร์มยังมีการตั้งเงื่อนไข เช่นผู้เริ่มทำงานใหม่แทบจะเลือกอะไรไม่ได้ ต้องขยันทำงานมากๆ เพื่อไต่ระดับขึ้นไป ยิ่งระดับสูงเท่าไรก็จะยิ่งมีสิทธิ์เลือกเวลาและสถานที่ทำงานได้มากขึ้นเท่านั้น หรือในส่วนค่าตอบแทนก็เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นผู้กำหนด สิ่งที่ปรากฏเหล่านี้จึงนำมาซึ่งข้อสรุปที่ว่า “ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกผู้รับงานเหล่านี้ว่าหุ้นส่วนก็เพื่อผลักภาระความรับผิดชอบตามกฎหมายแรงงานออกไปให้พ้นตัว” รวมถึงรูปแบบการทำงานที่เสี่ยงอุบัติเหตุหรือเสี่ยงทำผิดกฎหมายแล้วไปถูกจับกุม ผู้รับงานก็จะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเอง
ขณะที่ ปิยรัตน์ ปั้นลี้ นักวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา กล่าวว่า ธุรกิจพยายามทำให้ผู้คนไว้วางใจในเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บนความเชื่อที่ว่า “จักรกลมีความเป็นกลาง (Neutral) เพราะไม่มีความรู้สึก” แต่ก็มีการศึกษาค้นพบว่า “อคติ (Bias) ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับเทคโนโลยีเช่นกัน เพราะระบบประมวลผลนั้นถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์” คนเป็นผู้ตั้งค่าหรือป้อนข้อมูลต่างๆ เข้าไปในระบบ
อาทิ สหรัฐอเมริกา มีการตั้งข้อสังเกตว่าระบบประมวลผลที่ใช้กันมีบุคลิกความเป็นผู้ชายผิวขาว (White Male) เป็นคนรักต่างเพศ และมีการศึกษาดี หรือใน อังกฤษ การกรอกแบบฟอร์มเพื่อใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ สำหรับชาวเอเชียอาจมีเพียงชาวอินเดียกับชาวจีนเท่านั้นที่มีการระบุช่องประเทศชัดเจน ในขณะที่คนจากประเทศอื่นๆ ต้องไปอยู่ในช่องเอเชียอื่นๆ (Other Asian) หรือบางแพลตฟอร์ม ชาวจีนที่มีนามสกุลเพียง 2 ตัวอักษรภาษาอังกฤษไม่สามารถลงทะเบียนได้เพราะระบบไม่ได้ตั้งค่าให้รับรองไว้ เป็นต้น
“อีกอันหนึ่งเวลาที่เราพูดถึงการสร้างแพลตฟอร์มหรือการสร้างแอปพลิเคชั่น อันหนึ่งที่เป็นกังวลในหมู่นักสังคมศาสตร์ คือปัญหาทางสังคมจำนวนมาก แต่ก่อนเวลาที่เราพูดถึงปัญหาทางสังคมเราจะนึกถึงการแก้ไขผ่านองค์กรเอกชนหรือร่วมมือกันกับชุมชนในการที่จะแก้ไขปัญหา แต่เดี๋ยวนี้เราพบว่า Social Cause (ปัญหาทางสังคม) จำนวนมากมันทำไปสู่ Profit (ผลกำไร)
คือแอปพลิเคชั่นจำนวนมากที่เราคุ้นหูเกิดขึ้นจากเป้าหมายในการแก้ไขปัญหา แต่กลายเป็นว่าปัญหาทางสังคมถูกนำไปเชื่อมกับการออกแบบแอปพลิเคชั่นหรือโปรแกรมในการที่จะสร้างรายได้ หรือแปรเปลี่ยนปัญหาสังคมเหล่านั้นให้กลายเป็น Profit ไป ท้ายที่สุดแล้วการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้น” ปิยรัตน์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี