นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทยอยปรับตัวดีขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายและไทยเริ่มฉีดวัคซีนในประเทศ เป็นปัจจัยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ การส่งออกปรับตัวดีขึ้น โดยกกร.ประเมิน 3 ปัจจัยในการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วยการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องเฝ้าระวังต่อไป การกระจายวัคซีนรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การเยียวยาผู้ประกอบการแรงงานที่ได้รับผลกระทบและการประคองกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งคนละครึ่ง และเราชนะ ถือว่าทำได้ดี กิจการขนาดเล็กได้ประโยชน์ จึงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวในกรอบ 1.5-3.5% การส่งออกจะขยายตัว 3-5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดอยู่ในกรอบ 0.8-1%
“เราต้องการให้ภาครัฐเร่งรัดจัดซื้อวัคซีนให้มาก ซื้อจากหลายแหล่งทั่วโลก เพื่อให้ครอบคลุมคนไทยทั้งหมด รวมถึงแรงงานต่างด้าว และนักธุรกิจต่างชาติที่อยู่ในไทย รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) อนุมัติวัคซีนที่นำเข้าให้ผ่านเกณฑ์เร็วขึ้น และอยากให้อนุญาตให้ภาคเอกชนซื้อวัคซีนมาฉีดให้พนักงานบริษัท เพื่อแบ่งเบาภาระภาครัฐ ช่วยให้การฉีดวัคซีนเร็วขึ้นโดยเฉพาะเอกชนรายใหญ่ที่มีความพร้อมฉีดวัคซีนเอง ซึ่งสอท.ได้ทำการสำรวจผู้บริหารบริษัทเอกชนส่วนใหญ่ 60% มีความพร้อมฉีดเองเพียงรอให้ภาครัฐอนุญาตเท่านั้น”
นอกจากนี้ ยังหารือถึงมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงล่าสุดสมาคมธนาคารไทยอยู่ระหว่างประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกมาตรการสินเชื่อพิเศษ เพื่อประคองและรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤติโควิด-19ภายใต้แนวคิด ปรับปรุง ฟื้นฟู และเปลี่ยนแปลง เพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพก้าวผ่านวิกฤติ
“มาตรการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่วมกันระหว่างสมาคมธนาคารไทย ธปท. และกระทรวงการคลัง ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง วงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างพิจารณา ภาคเอกชนอยากให้อยู่ระดับใกล้เคียงกับดอกเบี้ยของพ.ร.ก.ซอฟท์โลน คือ 2% ส่วนขั้นตอนการปรับปรุงจะใช้วิธีพักทรัพย์ พักหนี้ คือ ผู้ประกอบการสามารถนำทรัพย์ไปฝากกับธนาคารเจ้าหนี้เพื่อป้องกันหนี้เสีย และจ่ายเงินรูปแบบค่าเช่าเพื่อคงทรัพย์นั้นไว้ ส่วนจะขอสินเชื่อก้อนใหม่ได้หรือไม่ อยู่ในขั้นตอนพิจารณา” นายสุพันธุ์กล่าว
นอกจากนี้ เสนอให้ภาครัฐเร่งเปิดมาตรการจับคู่ท่องเที่ยว (Travel Bubble) กับประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางเพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว นักธุรกิจที่มีวัคซีนพาสปอร์ตเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่ามาตรการสินเชื่อพิเศษที่ประกอบด้วย การปรับปรุง ฟื้นฟู และเปลี่ยนแปลง จะมีความชัดเจนรวมถึงขั้นตอนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายใน 2 เดือนนี้เพราะต้องปรับแก้กฎหมายบางฉบับด้วย โดยรายละเอียดด้านการปรับปรุง จะเป็นโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ผู้ประกอบการที่เดือดร้อนแต่มีศักยภาพฟื้นตัว สามารถโอนทรัพย์ไว้กับธนาคารด้วยความสมัครใจ เพื่อลดภาระทางการเงิน รอการฟื้นตัวของธุรกิจโดยไม่สูญเสียธุรกิจไป ขณะที่ด้านการฟื้นฟู จะช่วยผู้ประกอบการที่เริ่มฟื้นตัวและต้องการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง
นายกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มาตรการสินเชื่อพิเศษ เป็นเรื่องที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวกลุ่มโรงแรม ธุรกิจสายการบินเรียกร้องมานาน แต่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งรายละเอียดด้านการปรับปรุงผ่านโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ นั้นทุกธุรกิจที่เข้าโครงการสามารถนำทรัพย์ไปฝากกับธนาคารได้ ทั้งโรงแรม โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้าต่างๆ หรือกระทั่งเครื่องบิน ก็นำไปฝากกับธนาคารเพื่อรับความช่วยเหลือเช่นกัน ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยให้ธุรกิจของไทยไม่ถูกต่างชาติซื้อกิจการ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่าเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8% จากปีก่อนที่ติดลบ 6% จึงคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจของเรายังจะน่าเป็นบวก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดีมานด์จากต่างประเทศยังไม่มา ซึ่งสัดส่วนของธุรกิจท่องเที่ยว คาดหวังว่าจะกลับมาได้ช่วงกลางปีนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี