** จากสถานการณ์ของราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาเหล็กในประเทศขณะนี้ต้องปรับตัวขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่ไทยยังต้องพึ่งพิงวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าไม่ว่าจะเป็นเศษเหล็ก และเหล็กขั้นต้นได้แก่ เหล็กแท่งเล็ก (Billet) เหล็กแท่งแบน (Slab)
อย่างไรก็ตาม ปัญหาราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นนี้ ไม่ได้เกิดจากการบิดเบือนกลไกตลาดด้วยการทำให้ไม่เกิดการสมดุลระหว่าง Demand และ Supply และขณะนี้ 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ก็ได้ออกมารับปากกับภาครัฐแล้วว่า ยินดีที่จะสร้างความสมดุลระหว่าง Demand และ Supply ในประเทศโดยเพิ่มการผลิตสินค้าเหล็กให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ
ข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2564 อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศมีการผลิตเพิ่มสูงขึ้นถึง 9.5% ชี้ให้เห็นว่าไม่มีการชะลอการผลิตเพื่อดึงราคา ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มเติมจากกลุ่มผู้บริโภคที่หันกลับมาใช้สินค้าเหล็กในประเทศแทนการนำเข้า เนื่องจากราคาสินค้านำเข้ามีราคาที่ใกล้เคียงกันหรือสูงกว่าสินค้าเหล็กในประเทศ แต่การสั่งซื้อต้องรอสินค้าประมาณ 3 เดือน ซึ่งเกิดความเสี่ยงในการสั่งซื้อสินค้า รวมถึงบางครั้งมีการผิดนัดยกเลิกสินค้า ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้สินค้าเหล็กในประเทศอย่างมากนอกจากนี้จากการที่ผู้ผลิตในประเทศมีกำลังการผลิตกว่า 23.5 ล้านตัน แต่ปัจจุบันมีการใช้กำลังการผลิตเพียง37% ดังนั้นจึงยังมีกำลังการผลิตที่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการใช้ของผู้บริโภคในประเทศอย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมเหล็กนั้นต้องยอมรับว่าเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศและจากผลการศึกษาวิจัยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า อุตสาหกรรมเหล็กมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทยทั้งในส่วนของการผลิต มูลค่า GDPมูลค่าและจำนวนการจ้างงาน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทาน หากมีการส่งเสริมการใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศไทยมากขึ้น จะช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนทำให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้อีก 0.66% ถึง 0.75% จากการเติบโตปกติ
นโยบายที่รัฐบาลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศที่รัฐได้ขับเคลื่อนมาแล้ว หากสามารถผลักดันให้หน่วยราชการปฏิบัติได้ผลจริง จะส่งผลบวกอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น การส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตในประเทศที่ได้ขึ้นทะเบียน “Made in Thailand” กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรี 1 กันยายน 2563 และกฎกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2563 เรื่องกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 ให้สามารถดำเนินการได้อย่างจริงจัง จากงบประมาณรายจ่าย ปีละกว่า 3.3 ล้านล้านบาท สามารถจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศได้หลายแสนล้านบาท
ทั้งนี้จะมีผลบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้นกว่านี้อีก หากรัฐบาลพิจารณาขยายผลให้โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP ) ต่างๆเช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการทางด่วน โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ฯลฯ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมกันอีกนับล้านล้านบาทส่งเสริมการใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศไทยด้วยเช่นกัน และจะให้เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศไทย
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี