เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้ทำจดหมาย"จากคนหมดแรง"เปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี,รัฐบาล ศบค. วอนช่วยเหลือร้านอาหารเร่งด่วน หลังจากพรุ่งนี้( 14 พ.ค.) ครบกำหนด 14 วัน ที่ศบค.ออกมาตรการบังคับใช้ให้ร้านอาหารห้ามการนั่งกินอาหารในร้าน โดยมีเนื้อหาดังนี้ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : จับตา 14 พ.ค.ชง‘ศปก.ศบค.’เคาะ‘ยกระดับ-ผ่อนปรน’มาตรการคุมโควิด)
เรียนท่านนายกรัฐมนตรี
จากข้อเรียกร้องที่ทางสมาคมภัตตาคารไทยในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการภัตตาคาร ร้านอาหารได้เรียนนำเสนอถึงสาเหตุความจำเป็น และความเดือดร้อนของผู้ประกอบการร้านอาหารได้ได้รับผลกระทบจากมาตรการข้อบังคับของศบค.โดยเฉพาะการนั่งรับประทานในร้านสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปแล้วนั้นว่าขณะนี้ มีผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวนไม่น้อยอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการต้องปิดกิจการ และหลายรายต้องปิดกิจการไปแล้วตามที่ปรากฏให้ได้ทราบในสื่อต่าง ๆ เพราะยอดขายที่หายไปเนื่องจากรายได้หลักของร้านอาหาร 80% มาจากรายได้เปิดนั่งรับประทานในร้าน ซึ่งตลอดช่วงเวลาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุม แต่ผู้ประกอบการร้านอาหารก็ปรับตัว หาวิธีประคับประคองตัวเองมาตลอด พร้อมทั้งยังคงมีการจ้างงานไม่ปล่อยให้พนักงานตกงาน และธุรกิจร้านอาหารยังเป็นซัพพลายเชนเชื่อมโยงกับภาคการผลิต บริการต่าง ๆ
ธุรกิจร้านอาหาร คิดเป็น 18 % ของGDP ประเทศในปี พ.ศ.2564 นี้มีหลายหน่วยงานคาดว่าจะเหลือแค่. 4 แสนล้านบาทแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของธุรกิจนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ภาคธุรกิจร้านอาหารให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการควบคุมการแพร่ระบาดด้วยดีมาตลอด เราแทบไม่ได้ออกมาเรียกร้องการเยียวใด ๆ เลย ถึงแม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านั้นกลุ่มธุรกิจร้านอาหารจะเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือได้น้อยมากในทางปฏิบัติเพราะติดเงื่อนไขข้อบังคับต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็มองผ่านและตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินช่วยเหลือตัวเองต่อไป เพราะสิ่งที่คนทำร้านอาหารให้ความสำคัญมากที่สุด คือการได้เปิดขายตามปกติ เพื่อให้เกิดรายได้กระแสเงินสดหมุนเวียนกลับมา
แต่สำหรับวิกฤตในรอบ 3 นี้ จะเห็นว่าได้ว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารมีข้อเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐมาเป็นระยะ ๆ เนื่องจากการบอบช้ำสะสมจากวิกฤตในการระบาดรอบที่ผ่านมายังไม่ได้รับการฟื้นฟูเมื่อต้องหยุดให้บริการนั่งรับประทานในร้าน หรือ มีระยะเวลานั่งรับประทานในร้านได้จำกัดทำให้รายได้หายไปเมื่อรวมกับวิกฤตที่เจอมาในช่วงแรกจึงสะสมจนแบกไว้ไม่ไหว หลายร้านต้องปิดตัว เจ๊งถาวร และอีกหลายร้านต้องปิดชั่วคราว รวมถึงอีกหลายร้านกำลังจะเจ๊ง
จึงขอเรียนมายังท่านนายกฯในอีกครั้งว่า ข้อสั่งการมาตรการเยียวยาวต่าง ๆ ที่ท่านมีมายังผู้ประกอบการร้านอาหารแม้บางข้อจะได้รับการดำเนินการจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว เช่น เรื่องการจ่ายเงินชดเชยลูกจ้างในระบบประกันสังคม 50% เป็นต้น แต่ก็ยังมีหลายข้อเรียกร้องที่ยังไม่รับการดำเนินการอย่างเหมาะสมทันเวลา อาทิ เรื่องวัคซีนสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารใน 8 จังหวัดพื้นที่ระบาดรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.ที่ขณะนี้มีจำนวนผู้ประกอบการ และบุคคลากรในร้านอาหารพื้นที่กทม.ลงทะเบียนสมัครใจขอรับการฉีดวัคซีนในวันที่ 15-21 พฤษภาคม ( รวมเกินกว่า 1 แสนคน) เพราะด้วยคาดหวังว่า วัคซีนจะเป็นทางออกของการยับยั้งการแพร่ระบาดและช่วยให้ระบบเศรษฐกิจประเทศกลับมาขับเคลื่อนได้เป็นปกติอีกครั้ง
ยิ่งในภาวะประชนชนยังไม่มั่นใจต่อการฉีดวัคซีนแต่คนภาคธุรกิจร้านอาหารกลับสมัครใจด้วยความยินดีในการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม แต่กลับปรากฏว่าการจัดสรรวัคซีนของทางกทม.ไม่มีส่วนสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่แสดงความสมัครใจลงทะเบียนขอฉีดวัคซีนกับทางสมาคมภัตตาคารไทยไว้แต่อย่างใด ซึ่งหากบุคคลากรภาคธุรกิจร้านอาหารสามารถได้รับการฉีดวัคซีนได้โดยเร็วจะเป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจประเทศโดยตรง และยังมีส่วนในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากร้านอาหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคทั่วไป
สำหรับข้อเสนอในส่วนของกรมอนามัยที่มีต่อร้านอาหารในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพื่อนำไปสู่การผ่อนปรนให้กลับมาเปิดนั่งรับประทานในร้านได้ ซึ่งมีจำนวน 9 ข้อ ดังนี้นั้น
1.ต้องให้ร้านอาหารทุกร้านทำแบบประเมิน Thai Stop Covid
2.ปรับลดที่นั่งในร้านเหลือ 25%-50%( สำหรับ open air ร้านเล็ก)
3.เว้นระยะห่าง 2 เมตร
4.นั่งในร้านได้ไม่เกิน 2 ชม.
5.ห้ามกินอาหารร่วมกัน ห้ามกินอาหารในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ ต้องแยกอุปกรณ์ของใครของมัน
6.ระบบระบายอากาศในร้านต้องดี
7.คัดกรองพนักงาน ซักประวัติพนักงานทุกคน ทุกวันเพื่อเป็นฐานทะเบียนข้อมูลสำหรับเช็คไทม์ไลน์ความเสี่ยงของพนักงาน
8.พนักงานในร้านทุกคนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา
9.เข้มงวดพนักงานหลังร้านให้สวมหน้ากากตลอดเวลา
ขอเรียนให้ทราบว่า แม้บางข้อหากปฏิบัติตามก็เป็นอุปสรรคในการประกอบกรณีร้านขนาดเช่น ร้านเล็กพื้นที่จำกัดจะเป็นอุปสรรคอย่างมาก แต่ผู้ประกอบการร้านอาหารก็พร้อมปฏิบัติเพื่อให้สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติโดยเร็ว และจะขอเรียนให้ท่านทราบว่า ร้านอาหารส่วนใหญ่ได้มีมาตรการป้องกันเข้มงวดด้านสาธารณสุขอย่างดีมากกว่า 9 ข้อนี้อยู่แล้ว
จึงมั่นใจได้ว่า หากอนุญาตให้ร้านอาหารเปิดนั่งรับประทานในร้านได้จะไม่เป็นสถานที่แพร่ระบาด หรือ คลัสเตอร์อย่างแน่นอน ยิ่งหากผู้ประกอบการและบุคคลากรของร้านได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วด้วยแล้วก็จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นได้มากขึ้น ดังนั้นจึงขอความเมตตามายังท่านให้พิจารณาผ่อนปรนให้ร้านอาหารสามารถเปิดนั่งรับประทานในร้านได้ทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 14 วันของมาตรการข้อบังคับที่ใช้ล่าสุด เพื่อต่อลมหายใจให้กับธุรกิจร้านอาหารได้ไปต่อ
จึงขอเรียนมาให้ท่านได้ทราบว่า ความห่วงใยที่ท่านนายกฯ มีต่อภาคธุรกิจร้านอาหารในบางเรื่องสำคัญยังไม่ได้รับการดำเนินการอย่างเหมาะสมและโดยเร็ว ซึ่งหากปล่อยไว้ หรือรอแก้ไขปัญหาเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงแล้วอาจไม่ทันการณ์และเมื่อถึงเวลานั้น อาจต้องใช้งบประมาณมากมายในการฟื้นฟู แต่หากช่วยให้ร้านอาหารได้ดำเนินกิจการเป็นปกติได้ทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 14 วัน ธุรกิจนี้ก็จะค่อย ๆ ฟื้นฟูได้ด้วยตัวเองต่อไป
พรุ่งนี้ศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2464 ครบ 14 วัน ที่ศบค.ออกมาตรการบังคับใช้ให้ร้านอาหาร ห้ามการนั่งกินอาหารในร้าน พี่น้อง 6 จังหวัดกรุงเทพ ฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ ลุ้นระทึก ฝากความหวังไว้กับมาตรการของกรมอนามัย กระทรวงาธารณสุขร่วมกับภาคเอกชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี