นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกปี 2564 ว่าภาวะการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้น 0.4% จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในภาคเกษตรตามภาวะราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวยังหดตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาภาวะการว่างงานเพิ่มขึ้นสูง โดยมีผู้ว่างงาน 0.76 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.96% สูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ขณะจำนวนชั่วโมงการทำงานรวมอยู่ที่ 40.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลง 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 การทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นถึง 129.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4จากภาพรวมที่ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานลดลง สะท้อนการจ้างงานและการทำงานที่ไม่เต็มเวลาทำให้แรงงานมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน
ส่วนทางด้านสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4 ปี 2563 มีมูลค่า 14.02 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% จาก 4.0% ในไตรมาสก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ทั้งนี้ แม้หนี้สินครัวเรือนจะขยายตัว แต่เป็นการขยายตัวที่ช้าลง สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนยังระมัดระวังในการก่อหนี้
จากสถานการณ์ดังกล่าวทําให้ในปี 2564 ครัวเรือนจะระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะการชะลอการซื้อ สินค้าในกลุ่มสินค้าคงทน ได้แก่ ที่อยู่อาศัยและรถยนต์ซึ่งมีมูลค่าสูงอาจมีการชะลอออกไป ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อ ชะลอตัวลง ขณะที่ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง รวมทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสําหรับประชาชนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ อาทิ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ที่ส่งเสริมการให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น
ดังนั้นจึงจําเป็นต้องมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสม ควบคุมดูแลการให้สินเชื่อให้สอดคล้องกับระดับรายได้ และเฝ้าระวัง ปัญหาการผิดนัดชําระหนี้ และการก่อหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการส่งเสริม การจ้างงาน เพื่อให้ครัวเรือนมีรายได้ และสามารถรักษาระดับการบริโภคไว้ได้ในระดับเดิม
แนวโน้มการก่อหนี้ของครัวเรือนในปี 2564 คาดว่าสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีจะยังคงอยู่ในระดับสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับไปในระดับก่อนโควิด-19 ประกอบกับตลาดแรงงานอาจได้รับผลกระทบ ที่รุนแรงขึ้นกระทบต่อรายได้ของแรงงานและทำให้ครัวเรือนประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยจะเห็นได้จาก เงินฝากต่อบัญชีหลังการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก (มีนาคม 2563) ที่พบว่าบัญชีที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาท ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับกลุ่มที่มีเงินฝากมากกว่า 100 ล้านบาท ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนรายได้น้อยอาจประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี