กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศไทย เห็นได้จากประชากรจริงตามทะเบียนบ้านที่มีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน แต่มีประชากรแฝงเป็นคนไทยจากทั่วทุกภาคที่เดินทางเข้ามาแสวงหาโอกาสทั้งการทำงานและการเรียนอีกราว 8-10 ล้านคน ถึงขั้นว่ากันว่าหากนับกันจริงๆ แล้ว มหานครแห่งนี้ซึ่งมีเนื้อที่ 1,569 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 300 ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย 513,120 ตารางกิโลเมตร กลับรองรับประชากรราว 13-16 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศราว 69 ล้านคน
ความเป็นเมืองที่มีผู้คนอยู่อาศัยหนาแน่นและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากมาย ทำให้การควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่สร้างความปั่นป่วนทั่วโลกเป็นไปได้ยาก เห็นได้จากยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในการระบาดระลอกล่าสุดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่การล็อกดาวน์เต็มรูปแบบย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำมาหากินของประชาชน “วัคซีน” จึงเป็นคำตอบเดียวที่จะคลี่คลายวิกฤติครั้งนี้ เพราะหากฉีดวัคซีนได้อย่างกว้างขวางผู้ที่จะมีอาการป่วยรุนแรงสุ่มเสี่ยงเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ย่อมลดลง ดังที่เห็นแล้วในต่างประเทศ
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะผู้บริหารของ กทม. นำโดย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เชิงรุก ณ โรงเรียนบางเขน (ไว้สาลีอนุสรณ์) ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เคลื่อนที่ (Mobile Vaccine Unit) เพื่อแก้ไขปัญหาการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน หรือคลัสเตอร์ (Cluster) ในพื้นที่
โดยหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เชิงรุก มีภารกิจสำคัญในการมุ่งฉีดวัคซีนให้แก่ชุมชนพื้นที่ กทม. ที่มีการระบาดแบบกลุ่มก้อน รวมถึงกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ป่วย ผู้พิการในชุมชน รวมทั้งกลุ่มแรงงานในพื้นที่ที่อาจจะเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ยากหรือมีความลำบากในการลงทะเบียนรับวัคซีน เพื่อควบคุมการระบาดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยหยุดยั้งการระบาดได้เร็วขึ้น และสอดคล้องกับเป้าหมายของภาครัฐที่ต้องการเร่งการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร 50 ล้านคน หรือร้อยละ 70 ของประชากรทั้งประเทศภายในสิ้นปี 2564
“หน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่เชิงรุกนี้ ถือเป็นภารกิจที่สำคัญจำเป็นอย่างยิ่งของ กทม. เนื่องจากในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระดับสูง และมีลักษณะเป็นคลัสเตอร์ในชุมชนที่มีผู้คนอาศัยหนาแน่นหรืออยู่ในแคมป์คนงานต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งแคมป์คนงานถือว่าเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ที่ต้องได้รับวัคซีนเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดโดยเร่งด่วน การดำเนินงานนี้จึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของ กทม. ที่เชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ของประเทศที่ต้องการยับยั้งการแพร่ระบาดโดยเร็ว สำหรับหน่วยฉีดวัคซีนในลักษณะนี้จะเคลื่อนย้ายจุดไปทั่วพื้นที่เสี่ยงในพื้นที่ กทม. ซึ่งต้องอาศัยทรัพยากรค่อนข้างมาก” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว
ในการตรวจเยี่ยมหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เชิงรุกครั้งนี้ ผู้ว่าฯ กทม. ยังได้กล่าวขอบคุณ “กลุ่ม ปตท.” ในฐานะที่เป็นหน่วยงานเอกชนรายแรกในการเข้ามาช่วยสนับสนุนจุดบริการฉีดวัคซีนเชิงรุกแบบครบวงจร ซึ่ง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. ระดมบริษัทในกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย อาทิ บริษัท พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด บริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด เป็นต้น ให้การสนับสนุน กทม.
“กลุ่ม ปตท. ได้ร่วมวางระบบงานดิจิทัล และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการปฏิบัติการเชิงรุกครั้งนี้ และสนับสนุนพนักงานกลุ่ม ปตท. ร่วมเป็นจิตอาสาในส่วนของการทำงานกับหน่วยบริการ ช่วยบริหารจัดการคิวผู้เข้ารับวัคซีน ประสานงาน อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ นอกจากนั้นยังได้ร่วมสนับสนุนอาหาร น้ำดื่มแก่เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ในหน่วยต่างๆ
อีกทั้งจัดเตรียมสินค้าวิสาหกิจชุมชนจากโครงการชุมชนยิ้มได้ ที่ ปตท.ได้ส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคเกษตรกร มอบให้กับประชาชนที่มาฉีดวัคซีน โดยหวังว่า ปตท. จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มที่จำเป็นต้องเข้าถึงวัคซีนอย่างเร่งด่วน อันจะช่วยยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 และช่วยขับเคลื่อนต่อลมหายใจเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวโดยเร็วต่อไป” นายอรรถพล กล่าว
นายอรรถพล ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. ได้สนับสนุนทุกภาคส่วนในการรับมือภาวะวิกฤติโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มการระบาดจนถึงปัจจุบัน รวมมูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท โดยระดมสรรพกำลังความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีของกลุ่ม ปตท. ในการสนับสนุนงานวิจัยสู้ภัยโควิด-19 อาทิ ชุดป้องกันการติดเชื้อ (PPE) หมวกอัดอากาศป้องกันการติดเชื้อความดันบวก (PAPR) การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาชุดตรวจคัดกรองและการวิจัยพัฒนาวัคซีน Chula-Cov 19 สนับสนุนแอลกอฮอล์ทางการแพทย์
อีกทั้งจัดตั้ง “โครงการลมหายใจเดียวกัน” มูลค่า 200 ล้านบาท โดยเร่งจัดหาเครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดขั้นวิกฤต ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคกว่า 70 โรงพยาบาล จำนวน 360 เครื่อง รวมไปถึงการสนับสนุนกล่องพลังใจสู้ภัยโควิด-19 อาหาร น้ำดื่ม แก่โรงพยาบาลสนาม กทม. และบุคลากรทางการแพทย์ อีกทั้งได้มอบถุงยังชีพและอาหารจากสมาคมภัตตาคารไทยแก่ชุมชนคลองเตย
ล่าสุดยังได้ขยายระยะเวลาช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนเงิน 100 บาท/คน/เดือน ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2562 ต่อไป อีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 11 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการลดต้นทุนค่าครองชีพ และต่อลมหายใจเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
กลุ่ม ปตท. ขอเป็นกำลังใจและเคียงข้างสังคมไทย ด้วยลมหายใจเดียวกัน เพื่อให้คนไทยและประเทศก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันโดยเร็วที่สุด!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี