จากกรณีที่ นายวรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดีและเครือข่ายนักวิชาการ ออกมาให้ความเห็นในประเด็น ดาวเทียม ไทยคม 7 และไทยคม 8 โดยระบุว่ารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ให้ใบอนุญาตแก่กลุ่มทุนต่างชาติและอาจจะทำให้ไทยต้องสูญเสียประโยชน์นั้น ล่าสุดก็มีความเห็นจากอีกหลากหลายฝ่ายให้ความรู้ต่อกรณีนี้เช่นกันโดยแหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม รายหนึ่ง เปิดเผยว่าน่าจะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนถึง บริบทของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯปี 2553 (พ.ร.บ.กสทช.) และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงเข้าใจว่าประเทศไทยยังคงมีระบบสัมปทานได้อยู่เช่นเดิม ซึ่งในข้อเท็จจริงนั้น ประเทศไทยได้เปิดเสรีโทรคมนาคมไปตั้งแต่ปี 2549 ตามข้อผูกพันที่ไทยมีอยู่กับองค์การการค้าโลก (WTO) การเปลี่ยนผ่านและประกอบกิจการดิจิทัลทีวี และประกอบกิจการโทรคมนาคม 3G, 4G และ 5G ในปัจจุบัน ล้วนเป็นระบบ “ใบอนุญาต” ที่ให้ตรงแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งก็รวมไปถึงกิจการดาวเทียมด้วย
“เราไม่สามารถย้อนกลับไปเอาระบบสัมปทานกลับมาประมูลให้สัมปทานดาวเทียมได้ดั่งเดิมอีกแล้ว หน่วยงานรัฐที่เคยให้สัมปทาน ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงดีอีเอส บมจ.ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในอดีต หรือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ในปัจจุบัน ต่างไม่สามารถให้สัมปทานกับใครได้อีก เพราะ กม.โทรคมนาคมปี 2544และ พ.ร.บ.กสทช. ได้ยกเลิกบทบัญญัติกฎหมายเดิมไปหมดแล้ว อำนาจในการกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ และโทรคมนาคมต่างๆ ถูกถ่ายโอนไปยัง กสทช.หมดสิ้นแล้ว”
ส่วนกรณีที่นักวิชาการบางคนออกมาระบุว่า ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมถือเป็นสมบัติของชาติ และระบุว่าดาวเทียมไทยคม 7-8 เป็นดาวเทียมนอกสัมปทาน และมีการนำเอาดาวเทียมสื่อสารต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิ์รับใบอนุญาตขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของนักวิชาการท่านนั้นมากกว่า เพราะหาก วงจรดาวเทียมเป็นสมบัติของชาติแล้ว เหตุใดกระทรวงดีอีเอสถึงไปถอนไฟลิ่งการจองตำแหน่งยิงดาวเทียมจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เมื่อ 2-3 ปีก่อน จนเกือบทำให้ไทยต้องหลุดวงโคจรให้ประเทศอื่นได้ และโดยข้อเท็จจริงนั้น ทุกประเทศต่างมีสิทธิ์ใช้ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมได้ทัดเทียมกัน และวงโคจรดาวเทียมบางตำแหน่งที่มีการยื่นขอจองเอาไว้มากกว่า 1 ประเทศ ก็อาจใช้งานร่วมกัน อย่างกรณีไทยคม และเอเซียแซท 6 ของจีนที่ใช้วงโคจรร่วมกัน จึงร่วมมือกันสร้างดาวเทียมและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน
แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่า หากนายวรงค์และเครือข่ายอยากพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศอย่างแท้จริง ก็น่าลงไปตรวจสอบการบริหารกิจการดาวเทียมที่ผิดพลาดของกระทรวงดีอีเอส และรัฐบาลเสียมากกว่า ที่ทำให้กิจการดาวเทียมมีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งในอดีตนั้น ประเทศไทยเรานั้น เคยได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจด้านอวกาศ มีตำแหน่งดาวเทียมสื่อสารของชาติมากถึง 3 ดวงจาก 180 ดวงทั่วโลก เทียบเท่ามหาอำนาจยักษ์ทั้งหลายอย่างจีนและอินเดีย และเหนือกว่าประเทศอื่นใดในภูมิภาคนี้ เราเคยมีดาวเทียมสื่อสารไทยคม 3 ที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ และทันสมัยที่สุดในโลก (ตอนยิงปี 2540) และไทยคม 4-ไอพีสตาร์ที่มีต้นทุนต่ำที่สุดกว่าดวงอื่นๆ ถึง 60 เท่า และมีรัศมีทำการครอบคลุมไปถึง 2 ใน 3 ของโลกที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อนแต่การที่กระทรวงดีอีเอส และรัฐบาลชุดนี้ถอน “ไฟลิ่ง”จองตำแหน่งยิงดาวเทียมจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) จนเกือบทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่เคยมี จนทำให้ในที่สุดกระทรวงดีอีเอสต้องตัดสินใจให้ไทยคมยิงไทยคม 7-8 รักษาสิทธิ์วงโคจรให้แทน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องความสูญเสีย จากการที่ ดีอีเอส ไม่ยอมตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับดาวเทียมสื่อสารของชาติคือ ไทยคม-5 ที่เสื่อมสภาพก่อนหมดอายุสัมปทาน ซึ่งก่อนหน้าบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานได้ทำเรื่องขออนุมัติติดตั้งเครื่อง “เพาเวอร์แบงก์” เพื่อชาร์จแบตฯยืดอายุการใช้งานดาวเทียมออกไปอีก 4-5 ปี แลกกับการขยายอายุสัมปทาน แต่กระทรวงดีอีเอสกลับไม่ยอมตัดสินใจ สุดท้ายได้แต่ปล่อยให้ดาวเทียมดังกล่าวหมดสภาพไปก่อนสัมปทานสิ้นสุดลงร่วมปี ยังความเสียหายนับพันล้านบาท ก่อนที่ ครม.จะสั่งตั้งกรรมการหาผู้รับผิดชอบ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี