nn ตั้งแต่มีการผลักดันส่งเสริมให้เกิดโรงไฟฟ้ากำจัดขยะชุมชน โดยบรรจุเป็นวาระแห่งชาติขึ้น การทำงานของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายๆเรื่อง...ล่าสุดที่กำลังเป็นประเด็นร้อนคือ ไม่ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า และประกาศรับซื้อไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์...ซึ่งขัดกับมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ที่ให้กกพ.ไปออกระเบียบรับซื้อให้กับโครงการที่มีความพร้อม ในอัตรา 3.66 บาทต่อหน่วย (ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จวบจนถึง แผนพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก (AEDP 2018) ปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่แม้กพช.จะได้เสนอให้ ครม.เห็นชอบปริมาณกำหนดปริมาณรับซื้อโครงการโรงไฟฟ้าขยะมูลฝอยทั้งระบบจำนวน 400 เมกะวัตต์แล้ว พร้อมมีบัญชีรายโครงการจำนวนรับซื้อแต่ละโครงการไว้ชัดเจนอันเป็นการแสดงความพร้อมครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็ตาม…
ขณะที่หน่วยงานอื่นๆทั้งกระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร เดินหน้าทำงานตามแผน Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ภายใต้วาระแห่งชาติในการบริหารจัดการขยะของประเทศ โดยกำหนดขั้นตอนเปิดให้เอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลางการจัดการสิ่งปฏิกูล และมูลฝอยและคณะทำงานพิจารณาโครงการร่วมลงทุนกับเอกชนตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (เฉพาะกิจ)ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ รวมถึง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยมี SPP และ VSPP 23 โครงการกำลังผลิต 234.7 เมกะวัตวัตต์ ผ่านการคัดเลือก
แต่เมื่อมาถึงขั้นตอนของกกพ.กลับไม่ดำเนินการตามภารกิจหน้าที่ ไม่ออกระเบียบและประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชนมารองรับ ปล่อยเวลาทิ้งไปกว่า 3-4 ปี ซึ่งนอกจาก กกพ.จะไม่เดินหน้าแล้ว ยังเปลี่ยนแปลงนโยบายไปมา มีการเลือกปฏิบัติเร่งด่วนให้กับบางโครงการเท่านั้น และตอนนี้ทำเรื่องให้ กพช. ทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าขยะจากชุมชนใหม่ทั้งหมด รวมถึงมีทีท่าเปลี่ยนอัตรารับซื้อไฟฟ้าด้วย ทำให้ SPP VSPP ทั้ง 23 โครงการ อาจจะถูกโละทิ้งทั้งหมด มานับ 1 กันใหม่
เบื้องหลังการยืดเวลาออกไป...ใครกำกับ???... และผลดีเกิดกับใครคงเดากันออก...แต่ผลกระทบใหญ่กำลังเกิดขึ้น เพราะการที่กกพ.ไม่ออกระเบียบและประกาศรับซื้อไฟฟ้า ทำให้เอกชนไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน(รง.4)ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน รวมถึงใบอนุญาตก่อสร้างตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร เพื่อเริ่มทำงานก่อสร้างได้
ตอนนี้เอกชนที่ผ่านการคัดเลือกจากกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะโครงการโรงกำจัดขยะชุมชน กทม.ที่มีรัฐวิสาหกิจแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในโครงการศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม และศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุช ซึ่งเป็นโครงการกำจัดขยะได้ถึงวันละ 1,000 ตัน ปั่นไฟฟ้าป้อนระบบได้ 30 เมกะวัตต์ต่อโรง กำลังตั้งคำถามหนักถึงสาเหตุที่ถูกดองนับปี และอาจถูกโละโครงการเช่นเดียวกับอีก 20 กว่าโครงการ โดยเห็นถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น จากความไม่แน่นอนในนโยบายภาครัฐต่อการทำธุรกิจในประเทศไทย และเตรียมดำเนินการต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น
ท่ามกลางความไม่เชื่อมั่นในนโยบายที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของกกพ.มีเหตุการณ์ที่ทำให้นักลงทุนคลางแคลงใจเพิ่มอีกประเด็น ในการเลือกปฏิบัติ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนบางโครงการ เดินหน้าได้อย่างน่าสงสัย โดยเฉพาะโครงการที่เอกชนรายหนึ่งร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ โครงการนี้กกพ.ยกเว้นขั้นตอนต่างๆ และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับคำเสนอขายไฟฟ้าจากโครงการโดยตรง ทั้งที่โครงการดังกล่าวไม่มีความพร้อมด้านการลงทุนตรงข้ามกับที่กกพ.ออกมาชี้แจง ยังอยู่ในขั้นตอนการปรับแก้เทคโนโลยีในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
…งานนี้ไม่เฉพาะนักลงทุน แต่มีหลายฝ่ายด้วยกัน ฝากคำถามกับกกพ.ว่ามีความจริงใจต่อนโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทน และการบริหารจัดการขยะ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติหรือไม่???? ใครคือผู้กำกับกิจการพลังงานตัวจริง??? การไฟเขียวให้กับบางโครงการ ขณะที่ SPP และ VSPP ทั้ง 23 โครงการถูกโละทิ้งหมด..มีคอนเนคชั่นอะไรมาเกี่ยวข้องหรือไม่ ??
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี