นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 53 เมื่อวันที่8-9 กันยายน 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกลว่า ได้รับมอบหมายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยที่ประชุมได้มีการหารือถึงแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน ติดตามและเร่งรัดการทำงานให้เป็นไปตาม AEC Blueprint 2025 โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อการขยายตัวของการค้า การลงทุน และการลดอุปสรรคทางการค้า ตลอดจนการหารือกับภาคเอกชนในการเตรียมการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ในระยะต่อไป
ทั้งนี้ในด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจของอาเซียนจากโควิด-19 ที่ประชุมเห็นว่าอาเซียนจะต้องร่วมมือกันผลักดันให้อาเซียนก้าวไปสู่ความเป็นดิจิทัลและจะต้องเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพราะเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้อาเซียนฟื้นตัวจากผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ และยังได้เห็นชอบให้มีการขยายบัญชีรายการสินค้าจำเป็น (essential goods) ที่จะไม่ใช้ข้อจำกัดการส่งออกระหว่างกันจำนวน 107 รายการ ครอบคลุมสินค้าอาหารและสินค้าเกษตร เพิ่มเติมจากสินค้ายาและเวชภัณฑ์ที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับไทยในการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้น
ส่วนการอำนวยความสะดวกด้านการค้า เห็นว่าจะต้องสนับสนุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขนส่งทางเรือไม่ให้ติดขัด การเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอน รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนในการดำเนินธุรกรรมทางการค้า โดยการดำเนินการจะช่วยส่งเสริมการค้าและดึงดูดบริษัทสายเรือเข้ามาในภูมิภาค และช่วยให้ค่าระวางเรือในภูมิภาคกลับมาอยู่ในระดับปกติได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องกันถึงความสำคัญของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูการค้าและการลงทุนของภูมิภาค โดยที่ประชุมได้เร่งรัดให้สมาชิกเดินหน้ากระบวนการภายในประเทศ เพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเดือนมกราคม 2565
นายสรรเสริญกล่าวว่า ที่ประชุมยังได้ร่วมรับรองและเห็นชอบเอกสารสำคัญ เช่น 1.กรอบการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเป็นแนวทางที่อาเซียนสามารถนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 2.แผนงานในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นดิจิทัลของอาเซียน (แผนงานบันดาร์เสรีเบกาวัน)เป็นแผนดำเนินการในระยะสั้นและระยะกลางให้อาเซียนเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
3.แผนงานในการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนา e-commerce ในภูมิภาค ส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและ
ผู้ประกอบการ และเป็นช่องทางสำคัญให้ SMEs ได้เข้าถึงลูกค้าได้ และ 4.เครื่องมือประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่มิใช่ภาษีของประเทศสมาชิก (NTM Toolkit) ซึ่งจะเป็นแนวทางการ
ปรับปรุงมาตรการ NTMs ของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมการค้า ลดต้นทุนและภาระในการเคลื่อนย้ายสินค้าในภูมิภาค เป็นต้น
สำหรับการหารือร่วมกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) ซึ่งเป็นภาคเอกชนของอาเซียน ได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญและได้ดำเนินการในปี 2564 โดยเฉพาะการสร้างสภาพแวดล้อม และการเสริมสร้างความสามารถของแรงงานในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และการพัฒนาความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับภาคเอกชนเพื่อรับมือผลกระทบจากโควิด-19
โดยไทยได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนใน 3 ระยะ ได้แก่ การตอบสนองต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกและรักษาความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทาน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแรง โดยรักษาตลาดที่เปิดกว้างสำหรับการค้า การลงทุน ใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ และเพิ่มความตกลงกับประเทศที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะความตกลง RCEPและการยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในอนาคต รวมถึงการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี