นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนก.ย. 2564มีมูลค่า 23,036 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.1% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่มี.ค. 2564 การนำเข้ามีมูลค่า 22,426.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.3% เกินดุลการค้ามูลค่า 609.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และยอดส่งออกรวม 9 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่า 199,997.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.5% การนำเข้ามีมูลค่า 197,980.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.9% เกินดุลการค้า 2,016.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกในเดือนก.ย. 2564เพิ่มขึ้น 17.1% แม้จะมีสถานการณ์โควิด-19ที่กระทบต่อภาคการผลิตและโลจิสติกส์ในช่วงล็อกดาวน์ เป็นเพราะแผนส่งเสริมการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ที่มี 130 กิจกรรม ทำได้บรรลุผล มีการทำงานร่วมกันระหว่างพาณิชย์ เอกชน และส่วนราชการอื่น ในการเปิดตลาดใหม่ๆ
ขณะที่การค้าโลกดีขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น โดยองค์การการค้าโลก (WTO) คาดเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 10.8% ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลให้สินค้าไทยแข่งขันได้ดีขึ้น ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ที่มีมุมลบทำให้ต้นทุนนำเข้าสูงขึ้น แต่ก็ส่งผลดีต่อสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเพิ่มขึ้น และที่สำคัญ ศักยภาพของภาคเอกชนไทยเข้มแข็ง ภาคการผลิตฟื้นตัวเร็ว แม้เจอล็อกดาวน์ และโควิด-19 ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนที่เป็นบวก 30.3% มีส่วนทำให้ผลิตสินค้าส่งออกไปได้ต่อเนื่องไม่สะดุด
นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดการส่งออกในเดือนก.ย. 2564 สินค้าเกษตร ส่งออกเพิ่มขึ้น 12.9% โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ยางพารา เพิ่ม 83.6% เป็นบวก 12 เดือนต่อเนื่อง และบวกในทุกตลาด เช่น จีน มาเลเซีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น ลำไยสด เพิ่ม 73.8% เป็นบวกทุกตลาด 4 เดือนต่อเนื่อง
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่ม 11.3% สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่ม เช่น ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 29.3% โดยเฉพาะสับปะรดกระป๋อง เพิ่ม 118.3% ผลไม้รวมกระป๋อง เพิ่ม 100.6% และมะม่วงกระป๋อง เพิ่ม 60.7% อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นพระเอกมาโดยตลอดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพิ่ม 23.6% เป็นบวก 25 เดือนต่อเนื่อง ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 15.8% สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เพิ่ม 61% เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก เพิ่ม 38.8%
ทางด้านตลาดส่งออก ตลาดหลัก เพิ่ม 18.1% โดยสหรัฐ เพิ่ม 20.2% จีน เพิ่ม 23.3% ญี่ปุ่น เพิ่ม 13.2% อาเซียน (5 ประเทศ) เพิ่ม 25.7% CLMV (กัมพูชา-ลาว-เมียมา-เวียดนาม)เพิ่ม 8.2% และสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) เพิ่ม 12.6 ตลาดรอง เพิ่ม 21.8% โดยเอเชียใต้เพิ่ม 69.0% ทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 3.0% ตะวันออกกลาง เพิ่ม 17.4% ทวีปแอฟริกาเพิ่ม 30.2% ลาตินอเมริกา เพิ่ม 10.1% และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS เพิ่ม 42.5% และตลาดอื่นๆ หดตัว 65.5% ซึ่งหลายตลาดเป็นตลาดใหม่ที่เป็นเป้าหมายที่กรอ.พาณิชย์ ได้ประชุมร่วมกันและเห็นว่าจะต้องเร่งผลักดันการส่งออก และทำได้ดีจนส่งออกดีขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี