เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่ รร.โนโวเทล สยาม กรุงเทพฯ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับหลายองค์กร อาทิ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Centre for Humanitarian Dialogue (“hd) สถาบันเชนท์ฟิวชั่น และ มูลนิธิฟรีดริชเนามัน ประเทศไทย จัดเวทีเสวนานักคิดดิจิทัลส่งท้ายปลายปี 2564 ครั้งที่ 19 "จากข้อมูลลวงสู่โลกเสมือน : แนวทางการหาความจริงร่วม"
โดยในงานดังกล่าว รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "จากข้อมูลลวงสู่โลกเสมือน : แนวทางการหาความจริงร่วม" ว่า เราอยู่ในโลกที่อยู่ยากขึ้นทุกวัน สิ่งต่างๆ ที่ได้รับฟังมาไม่รู้ว่าอะไรจริง-ไม่จริง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เชื่อสืบต่อกันมาผิดๆ หรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดก็ได้ และเราก็อยู่กันแบบนี้มาโดยที่ไม่รู้ตัว โดยเฉพาะพื้นฐานของคนไทยเป็นคนเชื่อง่าย เช่น เชื่อตามคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ ดังที่มีสำนวนว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อเราอยู่ในโลกที่ความจริงไม่เป็นอย่างที่ควรเป็น แต่มีสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเพื่อความสนุกสนาน เช่น หากเป็นสมัยก่อนจะมีจดหมายลูกโซ่เขียนสูตรยามาส่งที่บ้านและขอให้เขียนส่งต่อไปอีกหลายๆ ฉบับ หรือจากนั้นก็จะเป็นยุคของฟอร์เวิร์ดเมล แต่ก็มีที่เป็นการพยายามสร้างหรือบิดเบือน เช่น หากใครทันเหตุการณ์เมื่อกว่า 10 ปีก่อน จะมีข่าวเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดจีที 200 ที่ผู้คนต่างเชื่อกันว่ามันใช้งานได้จริง ทั้งๆ ที่ส่วนประกอบมีเพียงกระป๋องกับเสาอากาศเท่านั้น และตนเป็นคนออกมาตรวจสอบเรื่องนี้
ขณะที่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ตลอด 2 ปีล่าสุด ก็มีข่าวปลอมเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นไปได้ทั้งคนที่ต้องการสร้างเรื่องตลกขบขัน ทฤษฎีสมคบคิดที่เชื่อมโยงโรคระบาดกับความเชื่อเดิมที่มีอยู่แล้วก่อนหน้า เช่น ความไม่ไว้รัฐ ไม่ไว้ใจประเทศ ไม่ไว้ใจการแพทย์ อาทิ อย่าฉีดวัคซีนเพราะรัฐบาลจะแอบฝังกลไกเข้าไปควบคุมสมอง หรือแม้กระทั่งคนที่หวังดีต้องการช่วยเหลือผู้อื่นแต่ส่งต่อวิธีการที่ใช้ไม่ได้ผลจริง อาทิ ในช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีวิธีการตรวจหาการติดเชื้อ ก็มีการส่งต่อกันว่าให้ลองกลั้นหายใจ 10 วินาที หากไม่สามารถทำได้นั่นหมายถึงติดเชื้อแล้ว
"สิ่งที่น่ากังวลของสังคมไทยคือเราไม่เคยโดยสอนให้ตั้งคำถามกับสิ่งที่ครูสอน แล้วสิ่งที่ครูสอนคือข้อสอบ คุณต้องตอบตามนั้น แล้วที่น่าห่วงคือสาขาวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี เป็นหนักกว่าทุกสาขา มันเหมือนกับว่าเราเรียนไปคุณต้องตอบตามนี้ สอบตามนี้ ต้องใช้ข้อมูลตามนี้ ทั้งที่วิทยาศาสตร์มันอยู่มา 2 - 3 พันปี ตั้งแต่อริสโตเติล มาถึงยุคของนิวตัน มายุคของไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ตั้งคำถามว่าที่คนที่แล้วคิดเรื่องจริงหรือ?" รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
รศ.ดร.เจษฎา กล่าวต่อไปว่า การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย มาถึงก็ทำโครงงาน ตั้งสมมติฐาน ทำการทดลอง แต่ลืมตรรกะแรกคือการตั้งคำถามว่าจริงหรือไม่ ซึ่งมีศัพท์คำหนึ่งว่า Falsifiability หมายถึงความสามารถในการพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นเท็จ เราไม่เคยถูกสอนให้ตั้งคำถามตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย เมื่อไปเจอข้อมูลต่างๆ จึงมักไม่เกิดความสงสัย นำมาสู่ความพยายามในหลายเวทีที่ต้องการสร้างการตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่การหาคำตอบ
ซึ่งแม้แต่คำตอบที่เป็นกระแสหลัก ทั้งที่มาจากรัฐและวงวิชาการ บางทีอาจมีวาระบางอย่างอยู่เบื้องหลัง เช่น ช่วงก่อนหน้านี้เคยมีข้อถกเถียงว่าควรจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิดใด แต่ยุคนี้ยังดีที่มีสื่อออนไลน์ที่ทำให้เกิดความเห็นแย้งจากกระแสหลัก และบางครั้งความเห็นแย้งก็นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงหากมีเหตุมีผล แต่การจะตอบว่าอะไรจริงแท้นั้นเป็นเรื่องยาก แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน เช่น วันนี้บอกไม่เชื่อว่าผีมีจริงเพราะพิสูจน์ไม่ได้ แต่ในอนาคตก็อาจเปลี่ยนไปได้หากพิสูจน์ได้ว่าผีมีจริง
"มันย้อนกลับไปหมดตั้งแต่การศึกษา วัฒนธรรมของสังคมไทย หรือแม้แต่การเรียน เกี่ยวกับสื่อต่างๆ คือมันต้องรื้อทั้งระบบจริงๆ แล้วมันก็รื้อยากเพราะต้องไปรื้อกันตั้งแต่วิทยาลัยครู คือถ้าเราบอกว่าเด็กสมัยนี้ต้องเป็นอย่างนี้แต่ครูก็สอนมาอย่างไร ครูก็มาสอนอย่างนี้ แล้วตอนเขาเรียนเองที่คณะ ที่ครุศาสตร์ เขาเรียนมาอย่างไร คือมันอยู่ในกรอบนั้นหมดเลย" รศ.ดร.เจษฎา ระบุ
รศ.ดร.เจษฎา ยังกล่าวถึงปัจจุบันที่กระแสของ เมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสร้างโลกเสมือนจริงแล้วให้ผู้คนเข้าไปใช้ชีวิตในนั้นกำลังมาแรง ตนเห็นว่าด้านดีมีคนพูดเยอะ แต่ก็มีด้านลบที่น่าเป็นห่วง เช่น การเข้าไปอยู่ในโลกนั้นคงไม่ได้มีหน้าตาเป็นตัวการ์ตูนอวตาร แต่จะเป็นตัวคนที่สแกนใบหน้าและร่างกายเข้าไป คำถามคือท่ามกลางคนมากมายในโลกนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าภาพ เสียงหรือวีดีโอนั้นเป็นตัวจริงหรือไม่ อาทิ ไปเจอดาราดังคนหนึ่งในนั้น นั่นคือดาราที่เข้ามาในเมตาเวิร์สจริงๆ หรือเป็นบุคคลอื่นสร้างขึ้น ซึ่งอาจต้องมีเครื่องหมายบางอย่างที่ยืนยันตัวตน
นอกจากนี้ ข้อมูลปลอมหลายเรื่องแม้จะเป็นเรื่องเดิมๆ แต่ก็ยังมีการแชร์ในแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น อีเมล เว็บบอร์ด ไลน์ ติ๊กต๊อก ฯลฯ ซึ่งก็ต้องตามแก้ข่าวกันมาเรื่อยๆ คำถามคือหากมันไปอยู่ในเมตาเวิร์ส เทคโนโลยีนั้นจะทำให้ข้อมูลปลอมมีความเนียนขึ้นจนพิสูจน์ได้ยากหรือไม่ อยากให้ลองคิดว่าตอนเด็กๆ เรามักเชื่อสิ่งที่เห็นด้วยตา โตมาหน่อยเราเชื่อสิ่งที่เห็นในรูปภาพ โตมาอีกก็เริ่มเชื่อสิ่งที่เห็นในโทรทัศน์
ดังนั้น เด็กยุคดิจิทัลก็จะเชื่อสิ่งที่เห็นในเมตาเวิร์ส เพราะถูกสอนให้เชื่อดิจิทัล ไม่ได้ถูกสอนให้ออกมาเจอตัวจริง เป็นโลกที่มีข้อดีแล้วก็จะมีข้อน่าห่วงขึ้นอีกเยอะ แม้กระทั่งการเงิน ก็จะเป็นโลกที่กรอบของประเทศไม่มีเหลืออีก เงินก็ไม่ใช่เงินบาทแต่เป็นเงินคริปโต แต่คริปโตก็มีเป็นร้อยๆ สกุล การควบคุม บอกว่าเรื่องใดจริง-เท็จ แล้วจะช่วยกำกับให้ ต่อไปจะไม่สามารถทำได้อีก
"บรรดาผู้ให้บริการ เป้าหมายเขากลับคิดตรงข้ามกับเราด้วยในเรื่อง Agenda (วาระ) เขาอยากให้เราเชื่อเรื่องนั้นต่างหาก อยากให้เราสิงตัว แฝงตัว ซึมตัวอยู่กับเมตาเวิร์สทั้งวันทั้งคืนตั้งแต่เช้ายันดึก เราพร้อมจะต้องซึมซาบเรื่องที่คนสร้างมาให้เรา ในอนาคตเราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาสามารถ Manipulate (ชักจูง) ความคิดเราได้ขนาดไหน สบายมากถ้าเขาอยากจะทำ อาจจะฟังดู Dystopia (มองโลกในแง่ร้าย) ไปนิด ผมว่ามันก็มีประโยชน์แต่ว่าก็มีเรื่องที่ต้องห่วงอีกเยอะเกี่ยวกับเรื่องในอนาคต" รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี