nn เริ่มต้นปี’65 นอกจากเรื่องโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน...คงไม่มีข่าวไหนจะเป็นที่สนใจของประชาชนมากเท่ากับเรื่องราคาหมูแพง ซึ่งโดยเฉลี่ยราคาขยับขึ้นถึง30-35% ซึ่งต้นเหตุก็มาจาก หมูหายไปจากระบบกว่า 50% เพราะผู้เลี้ยงรายย่อยกว่า 1 แสนราย ต้องหยุดเลี้ยงหมู เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) และปัญหาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์แพง (อาหารสัตว์เป็นต้นทุน 70% ของการเลี้ยงหมู) นั่นเอง
ข้อมูลปัจจุบันของอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยนั้น มีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรราว 190,000 ราย และกว่า 90% เป็นรายย่อย ซึ่งผลิตสุกรในระบบประมาณ 30% ขณะที่ผู้เลี้ยงรายกลางและรายใหญ่มีประมาณ 3% แต่ผลิตสุกรประมาณ 70% โดยหมูที่เลี้ยงและส่งออกสู่ตลาดได้เฉลี่ยปีละ 22 ล้านตัว ซึ่งกว่า 90% ใช้บริโภคภายในประเทศ และจากผลกระทบของโรคระบาด ASF ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี’63-64) ทำให้เหลือหมูที่ออกสู่ตลาดได้เพียง 18 ล้านตัว และคาดว่าปีนี้จะผลิตได้เพียง 13-15 ล้านตัว เท่ากับว่าหมูหายไปจากระบบ6-7 ล้านตัว ดังนั้นทำใจได้เลยว่าประชาชนจะต้องพบกับปัญหาราคาหมูแพงไปอย่างน้อยอีก 6 เดือน หรืออาจยาวถึง 1 ปี
คราวนี้ลองมาดูวิธีแก้ปัญหาของรัฐบาลกับเรื่องนี้...มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ ห้ามส่งออกหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อหมูภายในประเทศ...ช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ...เพิ่มกำลังการผลิตแม่สุกรทดแทน..เจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการกระจายพันธุ์และลูกสุกรให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบอีกครั้ง...มาตรการระยะสั้น ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนำเข้า การขยายกำลังผลิตแม่สุกร เร่งศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด..มาตรการระยะยาว...ผลักดันการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาด ส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM) มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงสุกรใหม่และเพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
ดูต้นตอของปัญหาคือหมูในระบบไม่พอกับความต้องการ(หายไปในระบบ 6-7 ล้านตัว) ดูผลจากการแก้ปัญหา ห้ามส่งออกได้หมูคืนเข้าระบบ 1 ล้านตัว จะเร่งเลี้ยงใหม่ปัญหาราคาอาหารสัตว์ที่จะยังแพงต่อเนื่องอีก 7 เดือน โรคระบาด ASF ยังไม่มีวัคซีน...เกษตรกรรายย่อยลงหมูใหม่ก็เสี่ยงเจ๊งอีก
สรุปว่าปีนี้ทั้งปีหมูยังขาดตลาดราคายังแพงขึ้น และสิ่งที่จะตามมาคือลากเอาราคาโปรตีนชนิดอื่นแพงขึ้นตามไปด้วย เมื่อผู้บริโภคจำเป็นต้องหันไปพึ่งพาโปรตีนชนิดอื่นแทนทั้งไข่ ไก่ ปลา เนื้อวัว ฯลฯ นอกจากนี้อาหารสำเร็จรูปที่มีหมูเป็นวัตถุดิบหลักก็จำเป็นต้องปรับราคาตาม แน่นอนว่าปัญหาค่าครองชีพปะทุขึ้นอีกสวนทางกับรายได้ที่ลดลง....
!! อย่าคิดว่าเรื่องหมูๆมันจะหมูตามชื่อ...ต้องยอมรับว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมฟาร์มหมูของไทยมันบิดเบี้ยว คนแค่ 3% ครองส่วนแบ่งในตลาดกว่า 70%...ครองห่วงโซ่อุปทานครบวงจร...เช่นนี้แล้วการแข่งขันที่เป็นธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร..งานนี้ท้าทายทักษะการบริหารและการแก้ปัญหาของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี