nn เรื่องของการทุจริต “โครงการบ้านเอื้ออาทร” นั้น คงไม่ต้องเท้าความอะไรกันให้มากความ เพราะปลายปีก่อน 2563 “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” เพิ่งมีคำพิพากษาฟันทุจริตอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และพรรคพวกนับสิบคน กรณีเรียกสินบนการดำเนินโครงการ และปล่อยให้ลิ่วล้อบริวารแฝงเข้ามาหากินอย่างเอิกเกริก สั่งจำคุกกราวรูดตั้งแต่ 4 ปี ไปจนถึง 99 ปี
ควันหลงจากคดีทุจริตโครงการยังไม่หมดแค่นั้น ยังมีคดีความอีกหลายสิบคดี ที่ยังขุดกันออกมาไม่หมด หนึ่งในคดีความที่โผล่ขึ้นมาล่าสุดเป็น “น้ำลดตอผุด” นั้นก็คือ โครงการบ้านเอื้ออาทร “เทพารักษ์ 4” ที่จังหวัดสมุทรปราการที่ล่าสุดนั้น ผู้บริหารบริษัทเอกชนคู่สัญญาเข้ายื่นเรื่องร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำเนินคดีกับบอร์ดและฝ่ายบริหาร กคช.หลายราย จากการส่งเจ้าหน้าที่และกลุ่มบุคคลเข้ายึดโครงการ ทั้งที่ยังมีข้อพิพาทคาราคาซังอยู่ในชั้นศาล แถมยังจ่อจะฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตามมาอีกคดี
ทั้งนี้ จากการย้อนรอยตรวจสอบโครงการบ้านเอื้ออาทรเทพารักษ์ 4 พบว่า โครงการนี้การเคหะฯไม่ได้ทำสัญญาจ้างรับเหมาเอกชนเข้ามาก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรอย่างที่เข้าใจกัน แต่ดันจัดทำเป็นโครงการ“ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน” ที่กำหนดให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาต้องดำเนินการจัดหาที่ดิน แหล่งเงิน และดำเนินการก่อสร้างโครงการตามเงื่อนไขที่การเคหะฯกำหนด โดยการเคหะจะทยอยจ่ายเงินงวดคืนให้ตามสัญญา แต่การดำเนินการได้เกิดมีปัญหาจนต้องเลิกกลางคัน ซึ่งไม่ได้มีแต่โครงการนี้ แต่ยังมีโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกหลายแห่งที่มีปัญหาและชะตากรรมแบบเดียวกันบางโครงการปล่อยทิ้งร้างเสียด้วยซ้ำอย่างที่การเคหะฯปราจีนบุรี แต่เมื่อเป็นโครงการร่วมลงทุน จึงไม่ใช่เรื่องที่หน่วยงานรัฐคู่สัญญานึกจะฉีกสัญญา หรือส่งเจ้าหน้าที่ ส่งคนเข้าไปบุกยึดโครงการกันดื้อๆ นั้นไม่สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลเคยมีบทเรียนที่ต้องจ่าย“ค่าโง่” หลายหมื่นล้านบาทจากการบอกเลิกสัญญาสัมปทาน และยึดโครงการพิพาทในลักษณะนี้กันมาแล้วนั่นก็คือ “โครงการโฮปเวลล์” ที่ท้ายที่สุดศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2562 สั่งให้การรถไฟฯและกระทรวงคมนาคมจ่ายชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทเอกชนคู่สัญญา จากการบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบนี้กว่า 25,000 ล้านบาท
มาถึงโครงการบ้านเอื้ออาทร “เทพารักษ์ 4” โครงการนี้ ที่ว่ากันตามสัญญานั้น เป็นการ “ร่วมลงทุน” ระหว่าง กคช.และบริษัทเอกชนคือ บริษัทเพียงประกายก่อสร้าง จำกัด โดยกำหนดให้บริษัท จัดหาที่ดิน เงินทุนและดำเนินการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยจำนวน 125 อาคาร รวม 5,830 หน่วย บนพื้นที่รวม 125 ไร่ มูลค่าลงทุนกว่า 2,448 ล้านบาท
ความน่าสนใจของโครงการนี้ อยู่ที่เป็นโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น ทั้งยังเป็นโครงการ “แฟล็กชิพ” ที่ผู้รับเหมาใช้วิธีการก่อสร้างด้วยการก่ออิฐ ฉาบปู หล่อเสาคานในพื้นที่เลยก็ว่าได้ขณะที่โครงการอื่นๆ ปั๊มระบบ “พรีคาสต์” กันไปหมดแล้ว หลังเซ็นสัญญากันไปไม่ทันได้เริ่มงานก็มีการสั่งการจากคนระดับบิ๊กในการเคหะฯเวลานั้น บีบให้บริษัทปรับผังดำเนินโครงการ และจัดซื้อ“ที่ดินตาบอด” ติดโครงการผนวกเข้ามาด้วยรวมทั้งยังดึงเอาบริษัทรับเหมาจากภายนอกเข้ามาร่วมเป็นคู่สัญญาเพิ่มเติม เพื่ออะไรไม่รู้ ????? ซึ่งบริษัทคู่สัญญาก็ได้แต่จำยอมแบบน้ำท่วมปาก เพราะเกรงจะถูกกลั่นแกล้ง
เรื่องมาแดงขึ้น เพราะบริษัทเอกชนคู่สัญญาไม่สามารถจะแบกรับความไม่ถูกต้องไม่ไหว จึงยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อให้การเคหะฯ ถอนบริษัทรับเหมาที่เอามาแปะเป็นตัวถ่วงออกไป ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้การเคหะฯและบริษัทรับเหมาที่ถูกดึงเข้ามาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้คดี เพราะจำนนด้วยเอกสารหลักฐาน ตามคำพิพากษาคดีแดงที่ 5988/2552
ผลพวงจากคดีดังกล่าวก็ทำให้โครงการระส่ำเพราะถูกผู้ใหญ่ในการเคหะฯหมายหัว และอาศัยความได้เปรียบจากความเป็นหน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการ บีบบังคับให้บริษัทฯปรับลดขนาดโครงการลงเหลือเพียง 42 อาคาร หรือ 1 ใน 3 ของสัญญาเดิมทั้งที่รู้อยู่ว่า จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนก่อสร้างและเห็นอยู่แล้วว่าในเวลานั้น บริษัทได้ก่อสร้างอาคารไปแล้วกว่า 80 อาคาร โดยดำเนินการเกือบจะแล้วเสร็จไปแล้ว42 อาคาร ท้ายที่สุดจึงทำให้โครงการบ้านเอื้ออาทรเทพารักษ์ 4 ได้รับผลกระทบอย่างหนักจนไม่สามารถก่อสร้างต่อไปได้ และถูกการเคหะฯ ใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาไปในที่สุด ทั้งที่บริษัทยืนยันว่า ไม่ได้เป็นผู้ละทิ้งงาน และไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้โครงการล่าช้า จึงทำให้เกิดข้อพิพาทคาราคาซังที่ฟ้องร้องกันยืดยาวมากว่า 10 ปี ปัจจุบันยังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
การที่การเคหะฯใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญา (แต่ฝ่ายเดียว) โดยที่บริษัทเอกชนยืนยันว่า ไม่ได้เป็นผู้ผิดสัญญานั้น จึงทำให้คดีนี้ถูกนำขึ้นฟ้องต่อศาลปกครองและศาลปกครองสูงสุด โดยที่บริษัทยังคงยืนยันว่า ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอยู่ เพราะแม้จะมีโอนที่ดินให้แก่การเคหะฯ แต่ก็เป็นการโอนแบบมีเงื่อนไขและเป็นไปตามเงื่อนไขการร่วมลงทุนฯ เมื่อการเคหะฯประสงค์จะบอกเลิกสัญญา บริษัทคู่สัญญาจึงมองว่า ทั้งสองฝ่ายต้องกลับสู่สถานะเดิม ที่ต้องเลิกแล้วต่อกัน ตัวบริษัทเอกชนก็เล็งที่จะฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนเพื่อนำไปพัฒนาด้านอื่นต่อ เพราะได้มีการเจรจาแหล่งเงินทุนไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม วันดีคืนดีฝ่ายบริหารการเคหะฯ กลับส่งเจ้าหน้าที่และดึงเอาบริษัทรับเหมาภายนอกเข้ามาปรับปรุงอาคารพิพาทที่ว่านี้ โดยแจ้งไปยังบริษัทเอกชนว่า ขอเข้าไปปรับปรุงอาคารเพียงบางส่วนเท่านั้นแต่ลึกๆ แล้ว ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดีว่า การเคหะฯ นั้นมีเป้าหมายจะรุกคืบยึดโครงการไปเปิดขายใหม่ในสิ้นเดือน ม.ค.นี้ เพราะมีการปล่อยข่าวสะพัดไปทั่วจังหวัดว่าจะเชิญ “นายกฯลุงตู่” มาเปิดโครงการเอง แม้บริษัทจะทักท้วงยืนยันไม่สามารถจะยินยอมให้ได้ เพราะที่ดินและตัวโครงการยังคงมีคดีความกันอยู่ก็ตาม
ก็คงได้แต่เตือนไปยัง “นายกฯลุงตู่” และบอร์ดการเคหะฯ รวมไปถึงตัวผู้บริหารการเคหะที่กำลัง ดึงดันเอาผู้รับเหมารายใหม่เข้าไปบุกยึดโครงการที่ยังเป็นข้อพิพาทไปทำต่อ จะกลายเป็นปฏิบัติการ “เรียกแขกให้งานเข้า” ที่อาจจบลงด้วย “ค่าโง่”
กระบองเพชร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี