นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา อคส.ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท Maha Shwe Ngwe จำกัด จากเมียนมา เพื่อหาช่องทางร่วมลงทุนสร้างคลังกระจายสินค้าอุปโภค-บริโภคในเมียนมา เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคเอกชนไทย รวมถึงผลักดันยอดส่งออกสินค้าไทย แก้ปัญหาการค้าชายแดนในช่วงโควิด-19 ระบาด รองรับการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ในตลาดเมียนมา ถือเป็นการขยายสาขาคลังสินค้าในต่างประเทศของ อคส.เป็นแห่งแรก นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2498 หรือในรอบ 62 ปี

โดย อคส.เตรียมตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐเอกชน เพื่อเดินหน้าโครงการอีก ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับประเทศอื่นๆ เช่น จีน อินเดีย และประเทศในกลุ่มอาหรับ เพื่อช่วยสนับสนุนให้มีการส่งสินค้าไทยไปประเทศดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ในรูปแบบ Just-in-Time สร้างความได้เปรียบและแตกต่างจากประเทศคู่แข่งให้เอกชนไทย

ทั้งนี้ อคส.ยังมีแผนร่วมมือส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองกับเมียนมา ซึ่งไทยต้องนำเข้าปีละกว่า 2 ล้านตัน และกากถั่วเหลืองสำหรับผลิตอาหารสัตว์ อีกกว่าปีละ 2 ล้านตัน จะส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางด้านวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้กับเกษตรกรไทย โดยไม่ถือเป็นการทำการค้าแข่งกับภาคเอกชนของไทย เพราะไทยมีผลผลิตถั่วเหลืองน้อยมากไม่ถึงปีละ 0.1 ล้านตัน

นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ “แก้มลิง++” จะเร่งเพิ่มจำนวนสาขาคลังสินค้า อคส.ในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อล้างการขาดทุนสะสมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยคลังสินค้าราษฎร์บูรณะ ถือเป็นคลังสินค้าหลักที่จะนำมาสร้างรายได้ ล่าสุดอยู่ระหว่างการขอขยายใบอนุญาตทำห้องเย็นเก็บสินค้า หากได้รับการอนุมัติ จะรองรับสินค้าได้กว่า 50,000 ตัน และจะพลิกฟื้นฐานะของ อคส.ให้กลับมามีกำไรได้อย่างมั่นคง รวมทั้งสร้างเม็ดเงินลงทุนต่อเนื่องให้ อคส.ได้มากกว่า 8,000 ล้านบาท จากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนของคลังราษฎร์บูรณะเมื่อสร้างเต็มพื้นที่

นอกจากนี้จะเร่งเพิ่มสาขาที่คลังข้าวลพบุรี ซึ่งเป็นที่ดินของธนารักษ์ 22 ไร่ ให้สามารถสร้างโรงอบ โรงสี โรงแป้งข้าวเจ้าได้ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้ เพราะถ้าขายแค่ข้าวสาร จะได้ราคากิโลกรัม (กก.) ละ 15 บาท แต่ถ้าทำเป็นแป้งข้าวเจ้า จะได้ราคาสูงขึ้นเป็นกก.ละ 30 บาท ช่วยสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่ชาวนาในพื้นที่ที่มีกว่า 10,705 ครอบครัว และช่วยลดภาระงบประมาณรัฐที่ต้องช่วยเหลือได้ถึงปีละกว่า 700 ล้านบาท