nn วานนี้ “โลกการค้า” ได้นำเสนอบทความสรุป 10 ประเด็นสำคัญจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวงจำกัด (Focus Group) กลุ่มแรก กรณีการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ ทรู กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือดีแทค ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก จาก3 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นเรื่องอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง....ไปเป็นตอนที่หนึ่ง ซึ่งแต่แรกตั้งใจว่าจะนำเสนอในตอนจบในสัปดาห์ต่อไป...แต่เกรงว่าอารมณ์ของผู้ผ่านมันจะขาดช่วงไปเสีย วันนี้เลยจึงนำมาเสนอในตอนจบ
วานนี้ได้เสนอคำกล่าวของ ดร.ศุภัช ศุภัชลาศัย กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ...และมุมมองจากบริษัทเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมุมมองจากนักลงทุน...มุมมองจากนักกฎหมาย... มุมมองจากซัพพลายเออร์ !! รายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ขอกล่าวซ้ำในที่นี้อีก
เรามาต่อกันในประเด็นที่เหลือจากมุมมองของกลุ่มอื่นกันเลย...มุมมองจากคู่แข่ง โดยทางเอไอเอส ซึ่ง กสทช. ให้โอกาส ผู้บริหารจาก เอไอเอส พูดเป็น 3 รายแรก โดยเอไอเอสบอกว่า พร้อมแข่งขัน แต่หากปล่อยให้รายใหญ่ลดลง จะทำให้ทางเลือกลูกค้าลดลงปัจจุบันมีให้เลือก 3 โครงข่าย เหลือ 2 ราย การแข่งขันก็จะน้อยลงซึ่งจะหมดยุคสงครามราคา เพราะมีส่วนแบ่งตลาด เท่าๆ กันอยู่แล้ว เอไอเอส จะเคยออกมาให้ความเห็นก่อนการควบรวมทรูดีแทค ว่า ทำให้เอไอเอสต้องเร่งลงทุนให้เร็วขึ้นนั้น เอไอเอส จำเป็นต้องออกมาคัดค้านการควบรวม เพราะต้องยึดหลักธรรมาภิบาล เพราะจะทำให้การกระจุกตัวตลาดมากขึ้น เมื่อจำนวนผู้แข่งขันน้อยลง ถึงแม้ว่า เอไอเอสจะมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 และ หลังการควบรวม เอไอเอสเชื่อว่า ลูกค้าจะย้ายค่ายมาเอไอเอส และไม่สูญเสียความเป็นผู้นำ แต่การปล่อยให้เกิดการควบรวมย่อมไม่ส่งผลดีต่อการแข่งขัน เพราะตลาดในปัจจุบันดีอยู่แล้ว ที่มีผู้เล่นหลายราย และ เอไอเอส ก็ปรับตัวสู่เทคโนโลยีใหม่ โดยได้ประกาศไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หาก กสทช. ใช้ประการควบรวมปี 2561 ทำให้อึมครึมว่า บทบาทกสทช. ควรดำเนินตามกฎหมายที่กำหนดไว้แล้วหรือไม่ ดีลขนาดนี้ หากจะกำหนดมาตรการในภายหลัง จะสุ่มเสี่ยงเกินไปหรือไม่
6.มุมมองจากคู่ค้า มองว่า ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการที่ใช้งบประมาณมหาศาลด้านการตลาดมีเพียงรายเดียวคือเอไอเอส ขอให้ กสทช. ดูงบประมาณด้านการตลาด ว่า บริษัทเดียวที่ใช้งบประมาณมากกว่าคู่แข่งหลายร้อยเท่า ถือเป็นความเท่าเทียมในการแข่งขันหรือไม่ เป็นตัวอย่างง่ายๆ ว่า อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในปัจจุบันอยู่ในโหมดการลดต้นทุน มีเพียงผู้นำตลาด ที่มีกำไรสะสมมากพอที่จะถล่มตลาดด้วยการโฆษณา ดังนั้น หาก กสทช. ปล่อยให้อุตสาหกรรมเดินไปเช่นนี้จะเป็นการเอื้อผู้ประกอบการรายเดียวหรือไม่ ในส่วนของคู่ค้า ต้องการให้ควบรวมให้บริษัททัดเทียมในการแข่งขัน ก็จะสร้างงานที่มั่นคงให้กับผู้ประกอบการรายย่อยตลอดห่วงโซ่คุณค่า
7.มุมมองจากบริษัทดิจิทัล และ สตาร์ทอัพ มองว่า เรื่องสตาร์ทอัพ และ การส่งเสริมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในเมืองไทย มีความสำคัญ จะเห็นได้ว่า สมัยก่อน มี Dtac Accelerator เป็นการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว เมื่อเสียความสามารถในการแข่งขันไป ก็ยกเลิกการจัดบ่มเพาะ ทำให้ประเทศไทยก็เสียโอกาส หากประเทศไทยมีระบบนิเวศที่ไม่แข็งแกร่ง การแข่งขันที่เยอะเกิดไปแต่ไม่สร้างความแข็งแกร่งในระยะยาวก็เสียโอกาส งานวิจัยOECD ก็บอกว่า การแข่งขันที่เท่าเทียม จะเป็นธรรมมากขึ้น หากมองแบบ Supply Chain ห่วงโซ่คุณค่า จะทำให้ตลอดห่วงโซ่จะเข้มแข็งขึ้น ให้ลองดูผู้เล่น OTT จะเห็นว่า ผู้ประกอบการโทรคมนาคม ถ้าไม่เข้มแข็ง จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่นๆ มองถึงความยั่งยืนของประเทศชาติ เราขาดดุลการค้าเท่าไหร่แพลตฟอร์มผ่านค่าย OTT ทั้งหมดแล้ว ไลน์ สั่งซื้อของลาซาด้า shoppee หากพูดถึงอนาคตประเทศไทยเราต้องจับมือกัน ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นคนไทย สัญชาติไทยการควบรวมครั้งนี้เป็นโยชน์ของประเทศชาติ ยุคนี้เป็นยุค M&A ตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็ก ถ้าทรูกับดีแทค ควบรวมแล้วช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กเป็นผลประโยชน์ของชาติ ข้อมูลคือขุมทรัพย์ใหม่ แต่ปัจจุบันข้อมูลไม่อยู่ในไทยเลย ต้องฝากความหวังไว้กับผู้ประกอบการการ สิ่งที่อยู่บน 5G คือ ข้อมูล การที่ผู้ประกอบการไทยแข็งแรง เป็นประโยชน์ต่อชาติระยะยาว
8.สหภาพรัฐวิสาหกิจ องค์การโทรศัพท์ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดยบอกว่า ไม่เห็นด้วยในการให้ควบรวม โดย การสื่อสารแห่งประเทศไทย และ องค์การโทรศัพท์ ควบรวมได้ แต่ถ้า ให้ทรูกับดีแทค ควบรวมกัน จะเกิดเป็นตลาดกึ่งผูกขาด เอไอเอส กับ บริษัทควบรวม ดังนั้น หลังการควบรวมของ NT ตลาดสมดุลแล้ว สหภาพมองว่าปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้แพลตฟอร์มต่างประเทศน้อยมาก ทางสหภาพมองว่า ประเทศไทยมีนโยบาย 4.0อยู่แล้ว มันเป็นความล้มเหลวของประเทศไทยแลนด์ 4.0ไม่มีความเจริญในประเทศไทยเลย คำถามต้องกลับมาที่รัฐบาลว่า ได้ส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยหรือไม่ ทำธุรกิจบนเครือข่ายในประเทศไทยหรือไม่ กสทช. ควรกำกับดูแลอย่างไรให้เกิดสตาร์ทอัพ เพื่อให้วิ่งในโครงข่ายประเทศไทยได้อย่างจริงจัง การควบรวมโดยบริษัทเอกชนจะเกิดการผูกขาด การที่รัฐควบรวม ก็เพื่อเกิดการแข่งขันเสรี แต่เอกชนมาควบรวม เพื่อทำให้ทิ้งห่างกิจการของรัฐ โดยการอ้างเป็นการสร้างความแข็งแกร่ง โดยไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ยึดโยง ควรให้เป็นตลาดเสรี ว่า หากให้ควบรวมผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์ เกิดเป็นรายใหญ่สองราย ทำให้บริษัทรายที่สาม เสียประโยชน์ในการแข่งขัน
9.มุมมองจากสภาหอการค้าไทย คือ สนับสนุนการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ปกติเราอาจมองว่า การมองมากรายจะมีประโยชน์ แต่ในสายธุรกิจที่ลงทุนสูง หากมีผู้นำตลาดที่ห่างไปไกลมากเกิน การแข่งขันก็อาจไม่เกิดขึ้น เบอร์รอง อาจไม่มีกำลังในการลงทุนเพิ่มเติม และหากเบอร์ 2, 3 ลงทุนได้ไม่เต็มที่ จะไม่สามารถสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยกสทช. ควรพิจารณาระยะยาว การควบรวมกิจการในขนาดนี้ ทั้งสองฝ่ายคิดมาเป็นอย่างดีเรื่องประโยชน์ต่อผู้บริโภค ก็ฝากว่า หลังการควบรวมจะมีการทำประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร แบบนี้ก็รับการควบรวมได้
10.มุมมองจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า ภาคเอกชนไทย อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ต้องมองประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ซึ่ง ปัจจุบัน กสทช. มีอำนาจในการควบคุมด้านราคาอยู่แล้ว ดังนั้น ความกังวลด้านราคาจะสูงขึ้นนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องกังวล เพราะกสทช. สามารถกำกับได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะควบรวมหรือไม่ ดูได้จากราคาค่าโทรและค่าเนตในปัจจุบันประเทศไทยก็อยู่ในระดับที่แทบจะต่ำที่สุดในโลกอยู่แล้ว ดังนั้น การแข่งขันของผู้ประกอบการหลังการควบรวม ที่มีความใกล้เคียงในการแข่งขันมากขึ้น จะทำให้เกิดความสูสีและเร่งการลงทุนให้เร็วขึ้น พัฒนาคุณภาพบริการมากขึ้น และสุดท้ายลูกค้าได้ประโยชน์
นอกจากนี้สภาหอการค้ามองว่า การควบรวมขององค์การโทรศัพท์ และ การสื่อสารแห่งประเทศไทยเกิดเป็น NT นั้น ต้องอย่ามองข้าม เพราะมีความแข็งแกร่งในการแข่งขันเช่นเดียวกัน เพราะมี Asset กว่า 3 แสนล้าน และ มีคลื่นมากไม่แพ้ผู้นำตลาด ดังนั้นหาก NT ปรับยุทธศาสตร์การแข่งขัน ก็ถือว่า มีความทัดเทียม เกิดเป็นตลาดที่มีผู้ประกอบการแข็งแรงทั้ง 3 ราย ซึ่งผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการแข่งขันสูงนั่นเอง
ถึงตรงก็ต้องบอกว่า ภาคอุตสาหกรรมประสานเสียงสนับสนุนการควบรวม มีเพียง เอไอเอสและ NT ที่ออกมาคัดค้าน ซึ่งถือว่า ไม่น่าแปลกใจแต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความแข็งแรง ดีกว่า ปล่อยให้อ่อนแอ จนถอนการลงทุน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ต้องการผู้ประกอบการที่แข็งแกร่ง และ รักษาศักยภาพในการแข่งขัน ส่วนเรื่องราคา กสทช. ทำหน้าที่มาดีอยู่แล้ว กสทช. ก็น่าจะทำผลงานได้ดีต่อไป ดังนั้น การแข่งขันด้านเทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ลงทุนส่ง และอาจเหลือผู้ประกอบการที่แข่งขันได้ไม่กี่ราย และ NT ก็เป็นบริษัทไทยที่แข็งแรง ไม่แพ้ บริษัทควบรวม ทรูและดีแทคดังนั้น การที่ กสทช. ปฏิบัติตามกฎหมาย และกำหนดเงื่อนไข ที่ทำให้สังคมสบายใจได้ว่า ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย เดินหน้าแข่งขันในระดับภูมิภาคได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี