นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้ง 5 หรือที่เรียกว่า “พายุเศรษฐกิจ 5 สูง” ประกอบด้วย เงินเฟ้อสูง หนี้ครัวเรือนสูง ราคาพลังงานสูง ต้นทุนสินค้าสูง และราคาสินค้าสูงซึ่งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แม้ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่เผชิญกับ Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่หากเราไม่สามารถเร่งเครื่องเดินหน้าเศรษฐกิจไทยให้โตขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ Stagflation ได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นจึงต้องผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ 5 สูง โดยต้องมีมาตรการเชิงรับและเชิงรุกที่รอบด้าน และทำให้เกิดผลลัพธ์ได้จริง
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นฟู แต่ยังมีความเปราะบาง จากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกเป็นพระเอก แต่ตอนนี้การส่งออกจะโตได้ไม่มากเพราะถูกจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน และราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้น ต่อจากนี้ไปภาคค้าปลีกและบริการจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และถือเป็นเครื่องจักรสำคัญที่จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวโตขึ้นเพราะขณะนี้ประเทศไทยต้องพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเป็นหลัก
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จึงขอนำเสนอ 3 มาตรการเชิงรับและเชิงรุกดังนี้ 1.ช่วยเหลือ SMEs ที่ได้จดทะเบียนในระบบ “THAI SME” ภายใต้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีเป้าหมายในการนำ SMEs ไทยทั้งหมดกว่า 3 ล้านราย เข้าสู่ระบบให้มีสิทธิพิเศษ เช่น จัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำด้วย Soft Loan พิเศษ “Digital Supply Chain Financing” ภายใต้โครงการ ITMX เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจ้างงานของ SMEs ด้วยโครงการคนละครึ่ง (Co-Payment) ที่รัฐบาลช่วยออกเงินค่าจ้างเด็กจบใหม่50%เป็นระยะเวลา 1 ปี ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือ SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจไปได้ และยังช่วยเสริมสภาพคล่องของการจ้างงานในระบบ ให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่ไม่เกินวงเงิน 30,000 บาท สำหรับผู้ซื้อสินค้าจาก SMEs ในระบบเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และเพิ่มรายได้ให้กับ SMEs ไทย
2.ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเมืองปลอดภาษี สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคุณภาพสูง เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแห่งเอเชีย และมีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้โดยเปลี่ยนโครงสร้างในการจัดเก็บภาษีนำเข้า เช่น ไม่มี Import Tax สำหรับสินค้านำเข้าเมื่อมีการซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งรัฐบาลอาจพิจารณาทดลอง “Sandbox ปลอดภาษี”ที่จังหวัดภูเก็ตก่อนเป็นที่แรกเพราะภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ และในเฟสต่อไปจะขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นๆ จนครบทั้งประเทศ
3.อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจโดยโครงการของภาครัฐ เช่น นำโครงการช้อปดีมีคืนกลับมาเพื่อเป็นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ (Local Consumption) จากประชาชนกลุ่มที่มีรายได้สูง โดยเพิ่มวงเงินเป็น 100,000 บาท พร้อมเพิ่มระยะเวลาการใช้จ่ายเป็น 2 เดือน ถือเป็นโครงการที่สามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจไทยได้อย่างรวดเร็วตรงเป้า มีประสิทธิภาพสูงสุดและใช้งบประมาณน้อยที่สุด ดำเนินโครงการคนละครึ่งและไทยเที่ยวไทยไว้อย่างต่อเนื่องยาวถึงสิ้นปี ถือเป็นโครงการของภาครัฐที่ได้รับผลตอบรับดีส่งผลให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนในการ กิน เที่ยวใช้สินค้าและบริการของคนไทย และถือเป็นโครงการที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี