วันเสาร์ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
รถร่วมบขส.กระอัก  แบกภาระต้นทุนน้ำมันไม่ไหว  ปรับลดเที่ยววิ่งลงอีก80%

รถร่วมบขส.กระอัก แบกภาระต้นทุนน้ำมันไม่ไหว ปรับลดเที่ยววิ่งลงอีก80%

วันอังคาร ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
Tag : รถร่วมบขส.
  •  

สมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย ประกาศปรับลดเที่ยววิ่งรถโดยสารประจำทาง ร่วมบริการ บขส. ลง 80% ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมนี้ระบุแบกรับภาระน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อไปไม่ไหว ขีดเส้นขอปรับราคาตามตารางคำนวณค่าโดยสาร เพิ่มขึ้นอีก 6 สตางค์ต่อกิโลเมตร ด้าน“นายกฯ” เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ผลักดันนโยบาย BCGสู่การปฏิบัติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากด้วยเศรษฐกิจBCG มุ่งสร้างรายได้กระจายไปสู่ประชาชน ทั้ง 7,435 ตำบล ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย เปิดเผยถึงมติร่วมกันของผู้ประกอบการรถโดยสาร บริษัทรถร่วมบริการทั่วประเทศ จาก 27 บริษัท ตกลงที่จะลดเที่ยววิ่งรวมกันลง80 % โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับภาระค่าน้ำมันดีเซลที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดย ปัจจุบันผู้ประกอบการต้องแบกต้นทุนเพิ่มขึ้นถึงเที่ยวละกว่า1,600 บาท และขณะนี้แนวโน้มน้ำมันเชื้อเพลิงคงยังจะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก ซึ่งที่ผ่านมาภาระที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ต้องหยุดรถไปแล้วถึง 40% ของจำนวนรถโดยสารที่เป็นสมาชิก ที่มีประมาณ 20,000 คัน


โดยทางเดียวที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถเดินรถได้ตามปกติต่อไปได้ คือการต้องได้ปรับราคาค่าโดยสาร เพิ่มขึ้นตามตารางคำนวณอัตราค่าโดยสาร ที่กรมการขนส่งทางบกเป็นคนกำหนดขึ้นเอง แต่ไม่เคยนำมาใช้ให้ผู้ประกอบการได้ปรับค่าโดยสารตามต้นทุนที่แท้จริง โดยข้างหลังสุดผู้ประกอบการได้ปรับราคาในปี 2562 ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 27.79 บาท โดยผู้ประกอบการจัดเก็บค่าโดยสาร อยู่ที่ 53 สตางค์ต่อกิโลเมตร โดยในครั้งนี้ผู้ประกอบการต้องการปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้นอีก 6 สตางค์ต่อกิโลเมตร หรือมาจัดเก็บในอัตรา 59 สตางค์ต่อกิโลเมตร ซึ่งแม้ว่าอัตราดังกล่าวจะไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนเดินรถทั้งหมดแต่ก็พอทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้

คูปองน้ำมัน2บาทต่อลิตรก็ช่วยไม่ได้

ส่วนข้อเสนอที่ ที่กรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือโดยความเห็นชอบของกระทรวงคมนาคม ,กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน ที่จะขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ในการให้คูปองส่วนลดราคาน้ำมันลิตรละ 2 บาทนั้น ในส่วนนี้ผู้ประกอบการคงไม่สามารถรับเงื่อนไขของมาตรการดังกล่าวได้ โดยนายพิเชษฐ์ระบุว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้นไปจาก อัตราที่เคยจัดเก็บแล้วถึง 8 บาทต่อลิตร การให้คูปองน้ำมัน 2 บาท/ลิตร ขณะนี้คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

ส่วนคำถามของผู้สื่อข่าวที่ถามว่า หากมีการปรับราคาค่าโดยสารอีกในขณะนี้ จะทำให้ผู้ใช้บริการรถน้อยลงไปอีกหรือไม่ นายพิเชษฐ์กล่าวว่าหากได้ปรับราคาค่าโดยสาร เรื่องจำนวนผู้ใช้บริการนั้นเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการ จะสามารถบริหารจัดการได้ ไม่น่าเป็นห่วง และหากในอนาคตราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงผู้ประกอบการยืนยันว่าพร้อมจะมีการปรับลดค่าโดยสารตามต้นทุนพลังงานที่เป็นจริง

รบ.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกระจายรายได้สู่ประชาชน แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ให้ทั่วถึงเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน “โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG” ให้ครอบคลุม 7,435 ตำบล ทั่วประเทศ โดยจะใช้ประโยชน์สูงสุดจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของชุมชน (Thailand Community Big Data : TCD) ที่พัฒนาไว้และทำให้ต่อเนื่องสมบูรณ์ทุกพื้นที่ เพื่อสร้างรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นการต่อยอดผลสำเร็จจาก “โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ” (U2T for BCG and Regional Development) หรือ “1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” (U2T BCG: University to Tambon) ในปี 2564 ซึ่งให้ผลตอบแทนทางสังคมกว่า 4.75 เท่า หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท จากการจ้างงานมากกว่า 58,000 คน ส่งผลให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมกว่า 10,088 กิจกรรม ในพื้นที่ 3,000 ตำบล ซึ่งเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG โดยมีเป้าหมายสำคัญ ได้แก่

1. การเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ของภาคการผลิตและบริการด้าน BCG ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กว่า 15,000 กิจกรรม

2. การเพิ่มการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ และประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการ Upskill/Reskill ทักษะพื้นฐานที่จำเป็น และทักษะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG เกือบ 70,000 คน

3. การสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 จาก 4,500 รายการ

4. การสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท/เดือน

ช่วยเหลือบัณฑิตป้ายแดง

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นลำดับแรก โดยได้ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอด ตามยุทธศาสตร์ผ่านการประเมินสถานการณ์วางแนวทาง โดยเชื่อว่าการประยุกต์นโยบายเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืน ซึ่งสินค้าและบริการของชุมชนต่าง ๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและบริการ การส่งเสริมการขยายและการตลาดทั้งแบบ online/offline การยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการ เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายธนกรฯ กล่าว

ทั้งนี้ “โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG” มีวัตถุประสงค์ในการจัดสรรบุคลากรที่มีศักยภาพ ทั้งที่อยู่ในระหว่างการหางาน หรือกำลังทำงานอยู่ในปัจจุบัน เพื่อช่วยเหลือชุมชนให้มีการเติบโตและสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น โดยเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนกว่า 98 แห่ง ร่วมกับบัณทิตจบใหม่และประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนภาคประชาสังคม หน่วยงานในพื้นที่ ขับเคลื่อนโครงการในระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค. - ก.ย.นี้ โดยบัณทิตจบใหม่และประชาชนในพื้นที่ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ http://www.u2t.ac.th ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

ปัดโอนเงินสวัสดิการแห่งรัฐ1พัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจงข่าวปลอม จากกรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” สามารถกดเงินสดได้ 1,000 บาท เงินเข้า 18 มิถุนายน 2565 นั้น ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบและพบว่าเป็นข้อมูลเท็จ ไม่มีการโอนเงินแต่อย่างใด โดยขอให้ประชาชนรับข้อมูลประชาสัมพันธ์จากช่องทางหลัก ที่เชื่อถือได้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบระบบการโอนเงินของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพบว่า วันที่ 18 มิถุนายน 2565 ไม่มีเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1,000 บาท และทุกวันที่ 18 ของเดือน จะได้รับเงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน

นายธนกรฯ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนรับข่าวสารจากช่องทางหลัก หรือตรวจสอบผ่านการประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง อย่าหลงเชื่อข้อมูลเท็จ ที่มีผู้ไม่ประสงค์ดีส่งต่อ รวมทั้ง ขอความร่วมมือไม่ส่งต่อข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ ข่าวสารจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สามารถติดตามได้ที่ www.cgd.go.th หรือโทร 02 1277000

พร้อมกันนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ห่วงใยการใช้จ่ายของประชาชนผ่านสังคมไร้เงินสด โดยกล่าวว่า ขอให้ประชาชนมีสติในการใช้งาน เพราะอาจมีผู้ไม่หวังดีจงใจใช้ QR Code พิมพ์ URL นำไปสู่เว็บไซต์หลอกลวง (Phishing) ให้กรอกข้อมูลหรือบัญชีธนาคารหรือหลอกให้โอนเงินไปบัญชีคนอื่นที่ไม่ใช่บัญชีของร้านค้า โดยประชาชนควรพิจารณาให้รอบคอบ หากพบว่าลิงก์ หรือ URL ที่ปรากฎขึ้นมาแปลกๆ หรือไม่ตรงกับชื่อเว็บไซต์ที่ใช้บริการอยู่ก็ไม่ควรที่จะกด Scan ต่อ รวมทั้ง ก่อนโอนเงินหรือทำธุรกรรมควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นบัญชีของผู้ขาย โดยสอบถามยืนยันกับผู้ขายว่าชื่อบัญชีถูกต้องหรือไม่ก่อนที่จะโอนเงินชำระค่าสินค้า

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

'เนท My Mate Nate'แจ้งข่าวร้าย ป่วยเป็นมะเร็ง บอกพฤติกรรมไว้เตือนภัย

หน่วยเลือกตั้ง'แม่กองคา'แม่สะเรียงคุมเข้ม! หลังฆาตกรต่อเนื่องยังลอยนวล

'โรม'เดือด! ยก 3 ข้อ 'ทักษิณ' พักชั้น 14 ชี้ชัด'ดีลปีศาจ'ทำลายกระบวนการยุติธรรม

สื่อนอกตีข่าว! วอนช่วยนทท.อังกฤษกลับประเทศ หลังพลัดตกน้ำตกที่ไทยค่ารักษาพุ่ง4ล้าน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved