‘ทรู’ลั่นควบรวม กลยุทธ์สร้างความพร้อม ดันแข่งขันกับทุนต่างชาติรายใหญ่ได้

‘ทรู’ลั่นควบรวม กลยุทธ์สร้างความพร้อม ดันแข่งขันกับทุนต่างชาติรายใหญ่ได้

วันพฤหัสบดี ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 16.37 น.

นักธุรกิจ นักวิชาการ ร่วมงานเสวนา The Disruption of Business, Competition and Transformation, Ready Now for the Future. “โลกปรับ เกมเปลี่ยน พร้อมพลิกโฉมธุรกิจ สู่อนาคต” ชี้แนวทางเตรียมรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ย้ำภาครัฐ-หน่วยงานกำกับดูแล ต้องปรับตัวและเปิดรับฟังข้อมูลหนุนการผนึกกำลังของภาคเอกชนเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค สอดรับบริบทในการแข่งขันของโลกธุรกิจยุคใหม่ และสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันให้กับประเทศไทย

23 มิถุนายน 2565 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มยุรี ศรีกุลวงศ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงจากกระแส Digital Disruption ทำให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม ต้องเร่งปรับตัวให้พร้อมรับมือกับการแข่งขัน โดยการทำ Technology Transformation แบบจริงจัง ซึ่งเริ่มจากการปรับ Mindset และสร้างวัฒนธรรมภายในองค์กรให้เห็นถึงความสำคัญของการทรานฟอร์มธุรกิจ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องสร้าง Ecosystem ที่เกื้อหนุนภาคธุรกิจด้วยการเป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ประกอบการในต่างอุตสาหกรรมมาร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างความมั่นคงและความได้เปรียบเชิงการแข่งขันให้กับประเทศไทย


นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โทรคมนาคมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Digital Disruption ทำให้บริษัทฯ ต้องเตรียมความพร้อมทรานฟอร์มธุรกิจสู่การเป็น Tech Company โดยดิสรัปตัวเองที่ไม่เป็นเพียงผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม แต่ต้องเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างบริการใหม่ๆ เพื่อรับมือความท้าทายของโลกธุรกิจในยุคใหม่ เช่นเดียวกับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลในช่วงที่เกิดสถานการณ์ Digital Disruption จะต้องเปิดรับฟังข้อมูลและต้องปรับตัวมากที่สุด โดยกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับบริบทของโลกธุรกิจ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสการแข่งขันกับต่างชาติปัจจัยสำคัญของการปรับตัวเพื่อให้พร้อมต่อการแข่งขันทางธุรกิจนอกจากทำความเข้าใจและรู้ทันเทคโนโลยี คือ การสร้างพันธมิตรและการผนึกกำลังกันเพื่อสร้างความเข้มแข็ง

ทั้งนี้ การควบรวมกิจการอย่างเท่าเทียมระหว่าง TRUE กับ DTAC ถือว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้เกิดความพร้อมต่อการสร้างนวัตกรรมรองรับความต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่ อันนำมาสู่ประโยชน์ต่อทุกฝ่ายโดยรวม

นอกจากนี้ยังสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติรายใหญ่อย่างแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Facebook, LINE, Twitter และ TikTok ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศไทย แต่กลับไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายโทรคมนาคมและการกำกับดูแลจากหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีความเสียเปรียบและสุดท้ายผู้ประกอบการรายใหญ่จากต่างประเทศจะเข้ามาครอบครองส่วนแบ่งตลาดแทนบริษัทคนไทยดังนั้นทั้งหมดนี้คือ ความสำคัญที่จะมอง ‘โทรคมนาคม’ เป็นเพียง ‘โทรคมนาคม’ ต่อไปไม่ได้ แต่ต้องมองเป็น Tech Telecom ที่ไม่ได้มีผู้เล่นเพียง 3-4 ราย แต่มีผู้เล่นมากกว่า 10 ราย ทั้งในและต่างประเทศที่เป็น Global Player แต่อยู่นอกการกำกับดูแลของโทรคมนาคม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทรูต้องมีการ Disrupt ธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยการควบรวมกับพันธมิตรเพื่อปรับตัวเป็นเทคคอมปานี

“เรามีเป้าหมายที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มของคนไทยให้สามารถแข่งขันได้กับแพลตฟอร์มระดับโลก ด้วยการสร้าง Ecosystem และสนับสนุนธุรกิจสตาร์อัพในไทยให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งสะท้อนแนวทางการปรับตัวของธุรกิจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและประเทศชาติ” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายพุฒิกานต์ เอารัตน์ กรรมการผู้จัดการ Chief Digital Asset บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัดและ Head of People and Branding SCB 10X กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ ได้ปรับตัวทางธุรกิจอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะมองเห็นว่าหากไม่ปรับตั้งแต่วันนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูก Disruption จาก FinTech ซึ่งจะเห็นว่าในปัจจุบัน SCBX ไม่ได้เป็นแค่ธนาคารพาณิชย์ แต่เป็น Tech Company ที่ต่อยอดไปสู่การให้บริการอื่นๆ เช่น แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ อย่าง Robinhood, การให้บริการสินเชื่อผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มการให้บริการเทคโนโลยีทางการเงินรวมไปถึงการรุกสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ด้วยวิชั่นของ SCBX ต้องการขยายฐานลูกค้าให้มากกว่า 100 ล้านคน เพื่อก้าวสู่การเป็น Global Player ดังนั้นจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

​มร.จอนโอมุนด์ เรฟฮัก Senior Vice President เทเลนอร์กรุ๊ป ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า เทเลนอร์ยังคงเดินหน้าลงทุนในภูมิภาคเอเชียและยืนยันที่จะทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมองทั้งปัจจัยเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ รวมทั้งนโยบายของภาครัฐที่ต้องเอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ มีกฎกติกาที่เป็นธรรม มีความชัดเจนและต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากการลงทุนด้านเทเลคอมต้องใช้เงินลงทุนสูง ทั้งการขอใบอนุญาตและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

ขณะเดียวกันมองว่าปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นแกนหลักของการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงภูมิภาคเอเชียและประเทศไทย ซึ่งการที่เทเลนอร์จะควบรวมเพื่อปรับตัวเป็น Tech Company นั้น เป็นวิถีปกติในการปรับตัวทางธุรกิจในยุคดิจิทัล เพราะเป็นแนวทางที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งและสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้ามากกว่าการเป็นผู้ให้บริการมือถือ โดยจะนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนนวัตกรรมที่จะเป็นส่วนสำคัญของชีวิตในการก้าวสู่วิถีดิจิทัลทั้งในเอเชียและประเทศไทย รวมถึงสนับสนุนให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่จะมีโอกาสเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน

-005

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top