nn แน่นอนว่าจุดสนใจของตลาดต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยตอนนี้ต้องโฟกัสไปที่เรื่องของ “ดอกเบี้ย” ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของไทยนั้นอยู่ในระดับต่ำมากติดต่อกันมาหลายปี เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการประคับประคองและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ที่ยังไม่แข็งแรงนัก หลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แม้ว่าก่อนหน้านี้อัตราดอกเบี้ยของประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ฯลฯ จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วตั้งแต่ปลายปีก่อน แต่ธปท.ก็ยังคงตรึงดอกเบี้ยเอาไว้ในระดับ 0.50% มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.75% เพื่อหวังสกัดแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูง และทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.25%-2.5% และยังมีการคาดการณ์ว่า เฟด จะทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยจนถึง 3.4% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้นักวิชาการ นักธุรกิจของไทยทุกคนพูดตรงกันว่าหมดเวลา “อัตราดอกเบี้ยต่ำ” อีกแล้วและฟันธงตรงกันว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งต่อไปในเดือนสิงหาคมนี้ กนง.ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแน่นอน
คำถามสำคัญคือจะขึ้นเท่าไหร่?????...ตามดูเงื่อนไขและปัจจัยที่ กนง.จะใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจว่ามีอะไรบ้าง...1.เงินเฟ้อ ซึ่งแน่นอนว่าเงินเฟ้อของไทยที่เร่งตัวขึ้นขณะนี้ สาเหตุหลักมาจากราคาพลังงาน ไม่ใช่เกิดจากความต้องการ (อุปสงค์)ที่เพิ่มขึ้น การปรับอัตราดอกเบี้ยแรงๆก็ยิ่งจะเป็นการช็อกตลาด เพิ่มต้นทุนทางการเงินให้ภาคธุรกิจ 2.เรื่องกระแสเงินไหลเข้า-ออก ซึ่งกรณีนี้ชัดเจนมาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยโลกขยับขึ้นมานานขณะที่ดอกเบี้ยไทยยังต่ำอยู่และมีส่วนต่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปี แต่ปรากฏว่าเม็ดเงินต่างชาติก็ยังไหลเข้าตลาดเงินและตลาดทุนของไทยอยู่ ซึ่งสาเหตุก็มาจากสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกยังล้นอยู่มากมายมหาศาล เพราะก่อนหน้าประเทศใหญ่ๆ ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอีกไม่นานก็จะเห็นจีนทำอย่างนี้เช่นกัน เพื่อพยุงภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ล้มลง
3.ภาวะเศรษฐกิจของไทย ซึ่งดูท่าทีจากการแถลงข่าว เรื่องภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ของ ธปท.แล้ว ธปท.ชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น และยังมองว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจภาคการค้าและบริการ ซึ่งฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังการเปิดประเทศ
เศรษฐศาสตร์วันหยุด...มองว่าประเด็นที่สำคัญที่สุดน่าจะอยู่ตรงที่ภาวะหนี้ครัวเรือนของไทยขณะนี้ การขยับดอกเบี้ยขึ้นแรงๆ น่าจะส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนอย่างหนักแน่นอน เพราะขณะนี้ภาคครัวเรือนยังต้องเผชิญปัญหาค่าครองชีพที่สูงสวนทางกับรายได้ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เอาเข้าจริง ณ เวลานี้ต้นทุนการเงินของสถาบันการเงินทุกประเภทไม่ได้สูงมากเลย ถ้าธปท.ต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยเหตุผลถ้าต้องรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ก็ควรให้ความสำคัญกับการเข้มงวดต่อสถาบันการเงินในการเก็บอัตราดอกเบี้ยจากผู้บริโภคในอัตราที่เป็นธรรมด้วยแล้วกัน เพราะตอนนี้ประเด็นเรื่องหนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วงที่สุด
l พงษ์พันธุ์ l
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี