นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเร่งพัฒนาท่าอากาศยานทั่วประเทศ โดยเร่งปรับปรุงพัฒนาสนามบินที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพการรองรับการเดินทางและขนส่งทั้งในและระหว่างประเทศ สอดรับกับนโยบายเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบของรัฐบาล รวมทั้งเป็นการใช้เงินงบประมาณของภาครัฐในการช่วยกระจายเม็ดเงินลงสู่ท้องถิ่น
รัฐบาลได้มอบหมายกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการสนามบินในประเทศไทย ได้แก่ บริษัทท่าอากาศยานไทยหรือ ทอท. และกรมท่าอากาศยาน ดำเนินการปรับปรุงและขยายพื้นที่การใช้งานของสนามบินนานาชาติรวม 3 แห่ง คือ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินอู่ตะเภา และสนามบินต่างๆในภูมิภาค ให้พร้อมรับการเดินทางท่องเที่ยวและขนส่งทางอากาศเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
โดยสนามบินสุวรรณภูมิเป็นการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ลดความแออัด พร้อมเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอาเซียน โดย(1) ก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินหลังรองที่ 1 ซึ่งมีหลุมจอดเครื่องบินประชิดอาคารเพิ่มอีก 28 หลุมจากเดิม 51 หลุม พร้อมเปิดให้บริการในปี 2565รวมถึงก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2566 (2) ก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักหลังที่ 1 ด้านทิศตะวันออก รองรับผู้โดยสาร 15 ล้านคนต่อปี เริ่มก่อสร้างในเดือนเมษายน 2565 จะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2567 (3) ก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ เพื่อรองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปีและขยายให้รองรับได้เพิ่มอีกถึง 40 ล้านคนต่อปีเริ่มก่อสร้างเดือนมกราคม 2566 และจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 (4) ก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันตกรองรับผู้โดยสาร15 ล้านคนต่อปี อยู่ระหว่างรอผลการศึกษาความเป็นไปได้ ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างส่วนต่อขยายทั้งด้านตะวันออก ตะวันตก และทิศเหนือแล้วเสร็จ คาดจะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มเป็น 120 ล้านคนต่อปี
ขณะที่การพัฒนาสนามบินดอนเมือง เฟส 3 เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้โดยสารเที่ยวบินภายในประเทศ โดยแผนการพัฒนาสนามบินดอนเมืองระยะที่ 3 กำหนดแผนการดำเนินการไว้ ดังนี้ (1) ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 3 พื้นที่ 155,000 ตารางเมตร เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้ 18 ล้านคนต่อปี (2) เพิ่มหลุมจอดเครื่องบิน 12 หลุมจอดทางด้านเหนือ คาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนได้เร็วๆ นี้ (3) โครงการอาคาร JUNCTIONBUILDING เพื่อเป็นพื้นที่ร้านค้าและร้านอาหารและ (4) งานก่อสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ หรือ APM ช่วงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 ถึงที่จอดรถด้านใต้
สำหรับสนามบินอู่ตะเภา ได้ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 เสร็จแล้วและเปิดให้บริการไปเมื่อปลายปี 2562 โดยอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 รองรับผู้โดยสารได้ 3-5 ล้านคนต่อปี และจะให้บริการได้เต็มศักยภาพในปี 2570 ซึ่งมีประมาณการไว้ว่า จะมีผู้โดยสารมากกว่า 5 ล้านคนต่อปี และรัฐบาลมีแผนจะเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้า ระหว่างสนามบินอู่ตะเภา สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3 สนามบินด้วย
นอกจากนี้รัฐบาลยังดำเนินการปรับปรุงสนามบินต่างๆ ในภูมิภาคด้วยเพื่อช่วยรองรับและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการขนส่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันของประเทศในภาพรวม เช่นสนามบินเบตง จังหวัดยะลา ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้วและเปิดใช้งานแล้ว
สนามบินนานาชาติกระบี่ หนึ่งในสนามบินสำคัญของประเทศและของภาคใต้ รองจากสนามบินภูเก็ตและหาดใหญ่ เพื่อให้เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากเดิม 1,500 คนต่อชั่วโมง เป็น 3,000 คนต่อชั่วโมงหรือ 8 ล้านคนต่อปี ขยายสนามบินนานาชาติแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้ 1.7 ล้านคนต่อปี เพื่อส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับเวียดนาม เมียนมา และจีน
การพัฒนาสนามบินขอนแก่น โดยกรมท่าอากาศยานมีโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ให้มีพื้นที่ใช้สอย 28,000 ตารางเมตรปรับปรุงอาคารที่พักผู้โดยสาร ก่อสร้างอาคารจอดรถยนต์หลังใหม่ และปรับปรุงอาคารจอดรถยนต์หลังเดิม คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากเดิม 1,000 คนต่อชั่วโมง เป็น 2,000 คนต่อชั่วโมง หรือ 5 ล้านคนต่อปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี