นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไทยออยล์ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนมูลค่ารวม 11,500 ล้านบาท ผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 192,307,693 หุ้น รวมถึงมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Shares) จำนวน 22,645,578 หุ้น ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนความมั่นใจในพื้นฐานอันแข็งแกร่งของไทยออยล์
โดยไทยออยล์เตรียมนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 30 กันยายน 2565 ทั้งนี้การเสนอขายหุ้นดังกล่าว จะช่วยเสริมโครงสร้างเงินทุนของไทยออยล์ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจของไทยออยล์ให้มีความคล่องตัวมากขึ้นทั้งโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน รวมไปถึงโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ไทยออยล์มีแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ ไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging Loan) ที่คงเหลือ ให้แก่ ปตท. และสถาบันการเงิน จากการลงทุนในธุรกิจโอเลฟิน โดยการเข้าถือหุ้นของ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk หรือ CAP จำนวนประมาณ 10,708 ล้านบาท และจำนวนเงินที่เหลือจากการชำระหนี้เงินกู้ยืมนั้น ไทยออยล์มีแผนจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการประกอบธุรกิจ หรือใช้ในการการขยายธุรกิจ เพื่อรองรับกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
สำหรับแผนการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 นี้ ไทยออยล์ได้ต่อยอดจากรากฐานอันแข็งแกร่ง โดยวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 980 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ และใน CAP ประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายธุรกิจโอเลฟินของ CAP ซึ่งจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายภายในสิ้นปี 2565 นอกจากนี้ ยังมีโครงการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำของ บริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด (TOP SPP) ประมาณ 46 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น การปรับปรุงหน่วยผลิตให้มีประสิทธิภาพ และการลงทุนด้านโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค รวมทั้งสิ้นประมาณ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายวิรัตน์กล่าวว่า เมื่อกระบวนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไทยออยล์แล้วเสร็จโดยนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไทยออยล์จะมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมาของไทยออยล์ซึ่งจะแจ้งผลการพิจารณาให้กับนักลงทุนได้รับทราบต่อไป ทั้งนี้ไทยออยล์มีนโยบายการจ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปีไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม ภายหลังจากการหักทุนสำรองต่างๆทุกประเภท ตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของไทยออยล์และตามกฎหมาย โดยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก2565 มีกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 32,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27,027 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ไทยออยล์มีเป้าหมายมุ่งเป็นผู้นำด้านพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Empowering Human Life through Sustainable Energy and Chemicals เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทธุรกิจ และทิศทางอุตสาหกรรมพลังงานที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต ไทยออยล์จึงตั้งเป้าหมายระยะยาวในปี 2573 จะมีสัดส่วนกำไรสุทธิใหม่ มาจากธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve อีก 10% ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและเติบโตไปพร้อมกับคนไทย พร้อมก้าวสู่องค์กร 100 ปีอย่างยั่งยืน”นายวิรัตน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี