นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่ายอดการจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนตุลาคม 2565 เทียบกับยอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือนตุลาคม 2565 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน5,911 ราย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา (กันยายน 2565) คิดเป็น 18% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ตุลาคม 2564) คิดเป็น 6% โดยมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่จำนวน 34,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา(กันยายน 2565) คิดเป็น 75% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (ตุลาคม 2564) คิดเป็น 58%
ในขณะที่การจดทะเบียนเลิกในเดือนตุลาคม 2565 มีจำนวน 1,973 ราย ทุนจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ
จำนวน 7,315.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา (กันยายน 2565) คิดเป็น 1% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ตุลาคม 2564) คิดเป็น 0.1% ส่งผลให้ยอดการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 10 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ต.ค.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 66,707 รายและการจดทะเบียนเลิกของ 10 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ต.ค.) มีจำนวน 13,412 ราย ในขณะที่จำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565 มีจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 849,958 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (31 ตุลาคม 2564) คิดเป็น 5%
ทั้งนี้ ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 502 ราย คิดเป็น 9%
รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 479 ราย คิดเป็น 8% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารจำนวน 273 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุน ที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 3,775 ราย คิดเป็น 63.86% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,006 ราย คิดเป็น 33.94% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 86 ราย คิดเป็น 1.45% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 44 ราย คิดเป็น 0.75%
ขณะที่ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไปจำนวน 166 ราย
คิดเป็น 8% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 125 รายคิดเป็น 6% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 44 รายคิดเป็น 2% และธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุนโดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,417 รายคิดเป็น 71.82% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 472 ราย คิดเป็น 23.93% ลำดับถัดไปคือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 78 ราย คิดเป็น 3.95% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 6 ราย คิดเป็น 0.30%
นายจิตรกรกล่าวอีกว่า ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น(ณ วันที่ 31 ต.ค. 2565) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 849,958 ราย มูลค่าทุน 20.56 ล้านล้านบาทจำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 201,330 ราย คิดเป็น 23.69% บริษัทจำกัด จำนวน 647,253 ราย คิดเป็น 76.15% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,375 ราย คิดเป็น 0.16% และธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 501,484 ราย คิดเป็น 59.00% รวมมูลค่าทุน 0.44 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.14% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 255,357 ราย คิดเป็น 30.04% รวมมูลค่าทุน 0.87 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.22% ช่วงถัดไปคือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 75,915 ราย คิดเป็น 8.93% รวมมูลค่าทุน 2.08 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.13% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 17,202 ราย คิดเป็น 2.03% รวมมูลค่าทุน 17.17 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.51%
นอกจากนี้ เดือนตุลาคม 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 44 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 17 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจจำนวน 27 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 7,059 ล้านบาทเป็นผลให้ในปี 2565 (มกราคม-ตุลาคม 2565) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น จำนวน 480 ราย
เพิ่มขึ้น 8% เงินลงทุน 106,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (มกราคม-ตุลาคม 2564) โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 3 สัญชาติแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 15 ราย เงินลงทุน 2,756 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ฮ่องกง จำนวน 5 ราย เงินลงทุน 579 ล้านบาท และสิงคโปร์ จำนวน 4 ราย เงินลงทุน 268 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมของเศรษฐกิจ ในหลายภาคส่วนธุรกิจเริ่มทยอยกลับมาฟื้นตัว จากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ซึ่งสะท้อนได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และแม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อของหลายประเทศในโลก ที่ส่งผลต่อกำลังซื้อจากต่างประเทศ จากปัจจัยดังกล่าวประกอบกับข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ของนิติบุคคล 3 ปีย้อนหลัง(ปี’62-’64) พบว่า แนวโน้มของจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่จะมีจำนวนสูงในช่วงต้นปีและจะทยอยลดลงในช่วงปลายปีโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจึงคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ตลอดทั้งปี’65 อยู่ระหว่าง 68,000-72,000 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี