“อลงกรณ์”ดันไทยเป็นฮับรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงอาเซียน (ASEAN Ev Conversion Hub) เสนอแผนปั้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแนวใหม่ แนะรัฐออก 8 มาตรการส่งเสริมการแปลงรถยนต์เบนซินดีเซลเป็นรถไฟฟ้า
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้ก่อตั้งและประธานที่ปรึกษามูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย ให้เกียรติกล่าวปาฐกถาพิเศษ “อนาคตประเทศไทยภายใต้ความท้าทายใหม่” ในงาน “We Change ... BEV Conversion” โดยมุ่งเน้นถึงทิศทางแนวโน้มอุตสาหกรรม แนวทางสนับสนุนของภาครัฐ องค์กร เพื่อลดปัญหาอุปสรรค ข้อจำกัดของอุตสาหกรรมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และการดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ณ งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39 The 39 th Thailand International MOTOR EXPO 2022 ห้องประชุมจูปีเตอร์ 8-9 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี
ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ศักยภาพและอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย โอกาสและความท้าทายของสถานการณ์สำคัญของโลก และการตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศของโลก( Climate Chang)โดยรัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมให้เกิดการผลิตการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ(บอร์ด EV)กำหนดนโยบาย 30@30 >>การผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030โดยมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค (EV Hub)
ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) ได้รายงานความคืบหน้าในการส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 ถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2565) มีโครงการที่ได้รับส่งเสริมในกิจการดังกล่าวแล้ว รวม 26 โครงการ จาก 17 บริษัท มีมูลค่าการลงทุนรวม 80,208.6 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) รวมกำลังการผลิต จำนวน 838,775 คัน แยกเป็น HEV 38,623.9 ล้านบาท 440,955 คัน, PHEV 11,665.6 ล้านบาท 137,600 คัน, BEV 27,745.2 ล้านบาท 256,220 คัน และ Battery Electric Bus 2,173.8 ล้านบาท 4,000 คัน ส่งผลให้เกิดการผลิตชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าตามมา เนื่องจากเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องผลิตหรือใช้แบตเตอรี่ในประเทศ นอกจากนั้น หากผู้ผลิตรถยนต์มีการผลิตหรือใช้ชิ้นส่วนสำคัญ เช่น Battery Management System (BMS), Drive Control Unit (DCU) และ Traction Motorในประเทศเพิ่มเติม ก็จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกด้วย
โดยปัจจุบันมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า แล้ว 35 โครงการ จาก 26 บริษัท มูลค่ารวม 15,410.2 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ตัวอย่างชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่, Traction Motor, BMS, DCU, Inverter, Onboard Charger, DC/DC Converter, High Voltage Harness, ระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ และอุปกรณ์สำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้า
อย่างก็ตาม ในส่วนประเทศไทยมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีที่ไปจะเป็นsunset industry และเรามีรถยนต์สันดาปภายในฤอยู่ในท้องถนนและเต้นท์รถมือสองจำนวน 19 ล้านคัน ถ้าเราเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการส่งเสริมให้มีการแปลงรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน(ICE)เป็นรถยนต์ไฟฟ้าและยังรักษาฐานอุดสาหกรรมชิ้นส่วนและการผลิตรถยนต์ของไทยที่ได้รับผบกระทบจากการผลิตรถไฟฟ้าซึ่งภาครัฐต้องตระหนักและให้ความสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนการผลิตชุดอุปกรณ์Ev conversation kitและกำหนดมาตรการสนับสนุนยานยนต์ดังกล่าวเข่นเดียวกับมาตรการส่วเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้มากขึ้น
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนตนมีข้อเสนอในเชิงมาตรการ 8 ประการคือ 1.มาตรดารส่งเสริมวิจัยและพัฒนา (R&D )รวมถึงการจัดตั้งสถาบัน Ev convertion 2.มาตรการจูงใจด้านภาษี การลงทุน กิจการ Ev convertion 3.มาตรการคาร์บอน เครดิต (Carbon Credit) 4.การจัดทำโครงการ 1 อำเภอ 1 อู่ Ev Convertion โดยศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และวิทยาลัยอาชีวะ 5.การยกระดับคุณวุฒิวิชาชีพช่าง 6.การส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศและส่งออก Ev convertion ในอาเซียนและ ประเทศเศรษฐกิจใหม่ และประเทศกำลังพัฒนา 7.การแก้ไขกฎระเบียนเพื่อสนับสนุนEv Conversion และ 8.การส่งเสริมระบบการเงินและสินเชื่อ (financial scheme)
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี