ก่อนอื่น อากาศ คือปัจจัยหลักที่ใช้ในการดำรงชีวิตในทุกๆ วัน แต่! อากาศที่สูดเข้าไปในร่างกายอย่างเต็มปอด อากาศเหล่านั้น (อาจไม่ใช่) อากาศบริสุทธิ์ เสมอไป เพราะมีฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว อย่างฝุ่น PM 2.5 เจ้าฝุ่นละอองจิ๋วที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือมีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ ส่งผลกระทบต่อร่างกายของพวกเราเป็นอย่างมาก PM 2.5 มีความสามารถที่ว่องไวยิ่งกว่าจรวดเดินทางผ่านทางเดินหายใจสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่ายดาย อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหลอดเลือดและหัวใจเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง หรือรุนแรงขั้นสุด คือ มะเร็งปอด เพื่อตั้งรับและแก้ไขปัญหา หลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนต่างหาทางวิธีแก้ไขปัญหานี้ แต่หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่สามารถทำได้และเห็นผลไว นั่นคือ “การลดการปล่อยมลพิษและเพิ่มพื้นที่ป่า”
ซึ่งองค์กรที่ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ อย่าง ปตท. ที่มีปำจุดมุ่งหมายไปให้ถึง Net Zero อย่างชัดเจน รวมถึงการอนุรักษ์และดูแลสิ่งแวดล้อมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง คือ “การปลูกป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในไทย”
โดยปี 2537 ปตท. ได้อาสาปลูกป่า 1 ล้านไร่ ทั่วประเทศภายใต้ “โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50” เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น และเป็นการสร้างพื้นที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดมลพิษในอากาศ และคืนสมดุลสู่ธรรมชาติ สร้างประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของชุมชนและยังสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
โดย ปตท. ได้จัดตั้ง “ศูนย์เรียนรู้ด้านการฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศ” เพื่อบอกต่อความรู้ที่หาที่ไหนไม่ได้นอกจากที่นี่ ทั้งด้านการปลูกป่า การฟื้นฟูระบบนิเวศ และกระตุ้นให้ประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญของการปลูกป่า นอกจากจะได้ความรู้แล้วยังสามารถสร้างประโยชน์ให้ตนเองและส่วนรวม ทั้งช่วยลดมลพิษในอากาศและสร้างอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ให้พวกเราได้อีกด้วย โดยศูนย์การเรียนรู้ฯ ด้านการปลูกป่า มีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่
1. ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี จ.ประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกเลือกเป็นพื้นที่เป้าหมายในการปลูกป่าชายเลนมาตั้งแต่ปี 2537 พลิกพื้นที่ที่เคยเป็นนากุ้งร้างที่มีสารเคมีตกค้างโดยสามารถเปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกป่าชายเลนได้สำเร็จในปี 2540 ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้สามารถปลูกต้นไม้ไปได้ถึง 471,600 ต้น (600 ต้น/ไร่) และสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 17,010 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ไม่เพียงเท่านี้ ยังพัฒนาพื้นที่นี้ต่อเนื่องให้เป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน ประชาชน นักเรียน นักศึกษา สามารถเข้ามาศึกษาเรียนรู้ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วยนะ
2. ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ จ.ระยอง ปี 2557 สถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. ได้รับมอบหมายเข้ามาพัฒนาที่ดินในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง และเลือกพื้นที่จำนวน 351.35 ไร่ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ การพักผ่อนหย่อนใจ โดย ปตท.
มีแนวคิดที่จะพัฒนาพื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้จากประสบการณ์ในการดำเนินโครงการปลูกป่าฯ 1 ล้านไร่ทั่วประเทศ จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์” โดยออกแบบให้เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการป่าครบวงจร เป็นพื้นที่สาธิตการปลูกป่าและวิจัยการฟื้นฟูป่าหลากหลายรูปแบบ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ท้องถิ่นภาคตะวันออกและพันธุ์ไม้หายากของไทย รวมถึงเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้เรื่องการปลูกป่าและระบบนิเวศป่าไม้ ให้แก่นิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนผู้สนใจ ปัจจุบันที่นี่ปลูกต้นไม้ได้มากถึง 453,082 ต้น สามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 3,759 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าซึ่งศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ยังถือเป็นผืนป่าขององค์กรธุรกิจแห่งแรกของประเทศไทย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนใน “โครงการ
ลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ตามมาตรฐานของประเทศไทย” (T-VER) ภาคป่าไม้ โดยในปี 2561 ผืนป่าแห่งนี้ได้รับการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก จำนวน 763 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อีกด้วย
3. ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง กรุงเทพฯ ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2558 โดย ปตท. ตั้งใจให้ “ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง” เป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องป่าและระบบนิเวศที่ผสมผสานความสวยงามด้านภูมิสถาปัตยกรรม รวมถึงเป็นพื้นที่สีเขียวของคนกรุงเทพฯ
บนที่ดินของ ปตท. จำนวน 12 ไร่ จากเดิมที่นี่เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าและเป็นที่ทิ้งขยะ ต่อมา ปตท. มีแนวความคิดที่จะ “สร้างป่าให้กับคนกรุงเทพฯ” โดยนำองค์ความรู้จากการปลูกป่ามาแล้ว 1 ล้านไร่ทั่วประเทศ มาต่อยอดเป็น “ป่านิเวศ” เพื่อจำลองป่ากรุงเทพฯ ในอดีต ที่มีความหลากหลายของพันธุ์ไม้ดั้งเดิมและพันธุ์ไม้หายากกว่า 270 ชนิด
นอกจากนี้ ปตท. ตั้งเป้าหมาย มุ่งบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับบริบทของการดำเนินธุรกิจ ใน 3 แนวทางหลัก “เร่งปรับ – เร่งเปลี่ยน - เร่งปลูกป่า” หรือว่าหลัก 3 เร่ง ได้แก่ “เร่งปรับ” Pursuit of Lower Emissions การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการให้ได้สูงสุด ผ่านโครงการสำคัญ เช่น การดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS) ในพื้นที่บริเวณทะเลอ่าวไทย และพื้นที่บนฝั่งในภาคตะวันออกภายใต้ความร่วมมือ PTT Group CCS Hub Model ที่ระดมเทคโนโลยีของ กลุ่ม ปตท. เพื่อบริหารการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกัน การนำคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ประโยชน์สูงสุด (Carbon Capture and Utilization : CCU) ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อลดการปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ การปรับปรุงกระบวนการผลิต และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต รวมถึงการผลักดันการใช้พลังงานจากไฮโดรเจน เป็นต้นโดยวิธีการเหล่านี้จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึง ร้อยละ 30 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
“เร่งเปลี่ยน” Portfolio Transformation การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนโดยมุ่งธุรกิจพลังงานสะอาด และการเติบใตในธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ซึ่งสอดคล้องตามการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ โดยกำหนดสัดส่วนเป้าหมายระยะยาว 10 ปี ที่ร้อยละ 32
ของงบประมาณการลงทุน การรุกปรับสัดส่วนการลงทุนจะเป็นกลไกสำคัญลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึงร้อยละ 50 และ
“เร่งปลูกป่า” Partnership with Nature and Society การเพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศด้วยวิธีทางธรรมชาติ โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งจะสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ อย่างน้อยร้อยละ 20
ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมของ ปตท. เพื่อไปให้ถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ที่สามารถทำได้อย่างแน่นอน โดย ปตท. พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ปำด้วยจุดมุ่งหมาย ภายใต้วิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond“ ที่มุ่งขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นของประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี