nn การประชุมทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง World EconomicForum (WEF) ได้เปิดเผยรายงาน Global Risk Report ผลการศึกษาสำรวจเกี่ยวกับปัจจัยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งได้มีการเผยแพร่เมื่อวันที่11 มกราคม ที่ผ่านมา ก่อนการประชุมประจำปีของ WEF ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นระบุถึงปัญหาวิกฤตโลกร้อนที่ยังคงเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจของโลกในระยะยาว นอกจากนี้ยังได้ระบุถึงวิกฤตเงินเฟ้อที่ส่งผลทำให้เกิดวิกฤตค่าครองชีพที่ราคาสินค้า อาหาร และพลังงาน มีราคาพุ่งสูงขึ้นจนน่ากังวลใจ อีกทั้งยังกระทบต่อหนี้สินของประเทศต่างๆ อย่างหนักหนาสาหัส ได้กลายเป็นวิกฤตในระยะเวลาอันใกล้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อความพยายามในการร่วมมือแก้ไขรับมือกับปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ หรือภาวะโลกร้อน เพราะเป็นสิ่งที่โลกเตรียมรับมือน้อยที่สุด เนื่องจากปัญหาระยะสั้นที่นำโดยวิกฤตค่าครองชีพ
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านความเสี่ยง ผู้นำอุตสาหกรรม และผู้กำหนดนโยบาย 1,200 คน พบว่า ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงทศวรรษหน้าเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และความท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อย่างวิกฤตค่าครองชีพ บีบให้ผู้นำโลกตกอยู่ในภาวะตัดสินใจได้ลำบากแม้รู้ทั้งรู้ว่าการเตรียมตัวรับมือกับปัญหาโลกร้อนถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่การจัดการกับเงินเฟ้อและสินค้าราคาแพงกลับจำเป็นที่จะต้องเร่งมือแก้ไขอย่างเร่งด่วนก่อน
นอกจากนี้รายงาน Global Risk Report ที่ทาง World Economic Forum จัดทำขึ้นร่วมกับโบรกเกอร์ ประกันภัยระดับโลก Marsh McLennan และ ZurichInsurance Group ระบุว่า การค้าการลงทุนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับรัฐบาลนานาประเทศที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันทางสังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง และแม้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจแทบทั้งหมดจะเห็นตรงกันว่า ความล้มเหลวในการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนจะถือเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงอย่างมาก แต่กลับเป็นความเสี่ยงที่รัฐบาลนานาประเทศทั่วโลกมีการเตรียมพร้อมน้อยที่สุด โดย Moody’s Investors Service ได้ประเมินความสูญเสียของบรรดาผู้ประกันตนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นค่าเฉลี่ยประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
รายงานของ WEF ยังระบุอีกว่า กระแส“อโลกาภิวัตน์ หรือ De-globalization”กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทต่อการค้าการลงทุนทั่วโลก หลังจากที่สงครามในยูเครนเน้นย้ำให้เห็นถึงปัญหาจากการที่ยุโรปต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย ในขณะที่การขาดแคลนไมโครชิพในช่วงโควิดระบาดทำให้เห็นข้อจำกัดของระบบโกลบอล ซัพพลายเชน และสงครามทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นบรรทัดฐานปกติ ท่ามกลางความตึงเครียดที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมหาอำนาจระดับโลกใช้นโยบายเศรษฐกิจเชิงรับในการลดการพึ่งพาคู่แข่ง ควบคู่กับนโยบายเชิงรุกเพื่อจำกัดการเติบโตของประเทศคู่แข่ง นอกจากนี้ ความแตกแยกทางเศรษฐกิจและสังคมกำลังกลายเป็นความแตกแยกทางการเมือง แนวคิดประชาธิปไตยโดนบั่นทอน นอกจากนี้ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่งคืออาชญากรรมทางไซเบอร์ และความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกิดจากบริการสาธารณะที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น เช่น ระบบขนส่ง การเงิน และระบบประปา ซึ่งเสี่ยงต่อการหยุดชะงักในกรณีที่เกิดการโจมตีทางออนไลน์ และการแข่งขันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในด้านต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัมคอมพิวติ้ง และเทคโนโลยีชีวภาพ อาจส่งผลให้ขยายช่องว่างความไม่เท่าเทียมให้กว้างขึ้น เพราะประเทศยากจนไม่สามารถจ่ายค่าเทคโนโลยีราคาสูงเหล่านั้นได้ดังนั้น ยุคเศรษฐกิจใหม่ที่เกิดขึ้นอาจเป็นหนึ่งในความแตกต่างที่เพิ่มขึ้นระหว่างประเทศที่ร่ำรวยและยากจน และทำให้การพัฒนามนุษย์ถดถอยเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี