นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (Retail Sentiment Index- RSI) ประจำเดือนธันวาคม 2565 พบว่าดัชนีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7.2 จุด เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจับจ่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG), ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) ปรับเพิ่มขึ้น
โดยเมื่อพิจารณาตามประเภทร้านค้า พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการร้านค้าประเภทภัตตาคารร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ร้านค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีความเชื่อมั่นลดลง หลังมีการเร่งซื้อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
สำหรับดัชนีในช่วง 3 เดือนจากนี้ (มกราคม-มีนาคม 2566) มีแนวโน้มปรับลดลง แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 จากปัจจัยกดดันทั้งภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง กำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือน มาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐที่ทยอยหมดลง และแนวโน้มต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น ทั้งจากค่าวัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีลักษณะไม่สมดุล (K-shape Recovery) สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยธุรกิจ 30% ยังไม่ฟื้นตัว และคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ในปี 2567 ในขณะที่ 11% ฟื้นตัวแล้วในปี 2565 ส่วนที่เหลือคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวและขยายตัวได้ในปี 2566
โดยสมาคมฯมีความเห็นว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่จะเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ต้องมีความหลากหลายตรงเป้าหมายไม่ซับซ้อน เน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอ เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อ ต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน โดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่องและระยะยาว จนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน
ทั้งนี้ประเมินการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก ที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-24 ธันวาคม 2565 พบว่า 1.ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมไตรมาส 4 ปี 2565 ปรับดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อนหน้า โดยธุรกิจมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและธุรกิจ 57% มีสภาพคล่องเพียงพอมากกว่า 12 เดือนซึ่ง 62% ของผู้ประกอบการระบุว่าธุรกิจขยายตัว,5% ระบุว่าธุรกิจทรงตัว, 33% ระบุว่าธุรกิจหดตัว
2.ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เพิ่มขึ้นมากกว่า 5% และคาดว่ารายได้จะกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดในปี 2567 และ
ผู้ประกอบการ 22% (กลุ่ม 20% และ 2%) ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ 5% โดย 41%ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 10%, 37% ตั้งเป้ายอดขาย 5-10%, 20% ตั้งเป้ายอดขาย 1-5% และ 2% ตั้งเป้ายอดขายเท่าเดิม
3.ผู้ประกอบการ 30% คาดว่าธุรกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติต้องใช้เวลาถึงปี 2567 ธุรกิจถึงเข้าสู่ภาวะปกติก่อนเกิดโควิด-19 โดย 11% คาดเข้าสู่ภาวะปกติตั้งแต่ปี 2565, 11% คาดเข้าสู่ภาวะปกติไตรมาส 1 ปี 2566, 24% คาดเข้าสู่ภาวะปกติไตรมาส 2 ปี 2566, 11% คาดเข้าสู่ภาวะปกติไตรมาส 3 ปี 2566, 13% คาดเข้าสู่ภาวะปกติไตรมาส 4 ปี 2566 และ 30% คาดเข้าสู่ภาวะปกติปี 2567 และ 4.ปัจจัยความกังวลที่มีต่อการฟื้นตัวของธุรกิจในปี 2566 อันดับที่ 1 ต้นทุนสูงขึ้น,อันดับที่ 2 กำลังซื้อเปราะบาง, อันดับที่ 3 เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และนักท่องเที่ยวมาต่ำกว่าที่คาด, อันดับที่ 4 มาตรการรัฐที่ทยอยหมดลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี