ลดค่าไฟฟ้า 4 เดือน
ผู้ใช้ไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน
รบ.เคาะงบ 3 พันล้านช่วยปชช.
ครม.อนุมัติ 3 พันล้านบาท ให้กฟน.- กฟภ.สำหรับส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟบ้านไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2566 และอนุมัติให้โรงรับจำนำรัฐกู้เพิ่ม 300 ล้านบาท เป็นเงิน
ทุนหมุนเวียนประกอบกิจการ
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติวงเงิน 3,191,740,000 ล้านบาท ให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม - เมษายน 2566 เพื่อให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยเป็นกรอบวงเงินของการไฟฟ้านครหลวงจำนวน 517,950,000 บาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจำนวน 2,673,790,000 บาท เพื่อบรรเทาผลกระทบในการลดภาระค่าครองชีพให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นกลุ่มเปราะบาง
นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น โดยช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง ประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทาน กองทัพเรือ เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคมถึงเมษายน 2566 โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม. ว่า ครม.อนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 300 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ วงเงินกู้ดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2566 แล้ว
ความจำเป็นในการกู้เงินครั้งนี้ สำนักงานธนานุเคราะห์ได้ประมาณการทางการเงินในปีงบประมาณ 2566 และคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการหรือกำไรสุทธิลดลงจากปีงบประมาณ 2565 จำนวน 89.55 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ อาทิ เศรษฐกิจโลก ความผันผวนของ ราคาทองคำ และการเปิดสาขาใหม่ จำนวน 2สาขา เป็นต้น ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินกิจการมีสภาพคล่องทางเงิน สำนักงานธนานุเคราะห์จึงจำเป็นต้องกู้เงินดังกล่าว