นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เปิดเผยว่าขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกเฉลี่ยที่ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลซึ่งมีทิศทางปรับตัวลดลงจากปี 2565 ทั้งปีคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากช่วงปี 2565 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 96 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นผลจากสถานการณ์ความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจไม่รุนแรงเทียบเท่าปีที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติมีทิศทางปรับตัวลง จากก่อนหน้านี้ที่ปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศยังต้องติดตามปัจจัยจากโครงสร้างของราคาทั้งการพิจารณาส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หากต้นทุนน้ำมันลง อาจกลับมาเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯได้ ดังนั้นราคาขายปลีกอาจไม่ลดลงรวดเร็วนัก รวมถึงราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวขึ้น เมื่อต้นทุนจากราคาเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าลดลงก็ตาม แต่ก็ต้องติดตามการพิจารณาถึงการแบกรับภาระค่าไฟกว่า 1 แสนล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยด้วย

“ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเก็บเงินเข้ากองทุนต่างๆ เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ขณะนี้ฐานะสุทธิยังติดลบกว่า 94,471 ล้านบาท,การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ที่กระทรวงการคลัง ยังลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ต้องดูทิศทางกันต่อไป” นายอรรถพลกล่าว

นายอรรถพลกล่าวว่า ในส่วนแผนการลงทุนปตท.จะเดินหน้าตามแผนใช้งบบประมาณในการลงทุน 5 ปี (2566-2570)ที่บอร์ดได้อนุมัติแล้ว 100,227 ล้านบาท โดยปี 2566 จะลงทุน 33,344 ล้านบาทและได้เตรียมงบประมาณที่จะลงทุนในอนาคต เพิ่มอีก 302,168 แสนล้านบาทรวมประมาณ 402,395 ล้านบาท ปีนี้อยู่ระหว่างเจรจาทำสัญญาร่วมลงทุนหลายๆรูปแบบ คาดว่าจะเสร็จอย่างน้อย 5 โครงการเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ จะเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจใหม่ ขณะที่รายได้ปี 2566 คาดว่า อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านล้านปลายๆ ลดลงจากปี 2565 ที่มีรายได้ประมาณ 3.36ล้านล้านบาท มีกำไรสุทธิ 91,175 ล้านบาทคิดเป็นอัตรากำไร 3.6% ซึ่งปีนี้ยังไม่สามารถระบุกำไรจะอยู่ที่ประมาณเท่าไร สาเหตุที่ปีนี้ รายได้จะลดลงเป็นผลจากราคาน้ำมันปีก่อน อยู่ในระดับสูง

สำหรับแผนการลงทุน 100,227 ล้านบาท เช่น การลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 36,322 ล้านบาท การลงทุนในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% มูลค่า 32,773 ล้านบาท การลงทุนในธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 18,988 ล้านบาท ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานและสำนักงานหนึ่ง 8,828 ล้านบาท และธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และปิโตรเลียมขั้นปลาย 3,316 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจใหม่ ประกอบด้วย กลุ่มพลังงานแห่งอนาคต 4 กลุ่ม ได้แก่ พลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และไฮโดรเจน ส่วนธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่พลังงาน ได้แก่ ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ทั้งยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และอื่นๆ ได้แก่ สินค้าที่มีมูลค่าสูงเป็นการต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนและไลฟ์สไตล์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์

“ปตท. มีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ใช่ไหมจากธุรกิจใหม่ 30% ในปี 2573โดยเฉพาะการมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยภาพรวมการผลิตไฟฟ้า ปตท.จะมีกำลังการผลิต 20,000 เมกะวัตต์ เป็นผลิตพลังงานทดแทน 12,000 เมกกะวัตต์ เพิ่มจากปัจจุบันที่มีอยู่ 2,700 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด”