นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่านโยบายการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2566 คงต้องติดตามว่ารัฐบาลใหม่พรรคใดจะเป็นแกนนำในการจัดตั้ง โดยไม่ว่าจะเป็นขั้วการเมืองฝ่ายใดสิ่งสำคัญคือต้องการให้มีการพิจารณาปรับกฎหมายด้านแรงงานที่กำหนดห้ามการเมืองเข้าแทรกแซงเพื่อให้การพิจารณาค่าแรงเป็นไปตามกลไกคณะกรรมการค่าจ้าง(ไตรภาคี)ที่ประกอบด้วย นายจ้าง ลูกจ้างและภาครัฐ ทั้งนี้ควรมีการแก้ไขกฎหมายในการป้องกันการแทรกแซงจากการเมือง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เองต้องมาดูแลกลไกการขึ้นค่าจ้างของแต่พรรคหรือไม่ หรือไม่ก็ว่าด้วยพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานที่จะมีกลไกใดในการกำหนดห้ามการเมืองแทรกแซงได้บ้าง
ปัจจุบันพรรคการเมืองได้มีการชูนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำหลักๆ อาทิ พรรคเพื่อไทยจะปรับเป็น 600 บาทต่อวัน ในอีก 5 ปี ปีแรกเป็น 400 บาทต่อวัน แต่ไม่ได้ระบุปีไหน ขณะที่พรรคก้าวไกลปรับขึ้นทันที 450 บาทต่อวันและปรับขึ้นทุกปี รวมถึงกำหนดเวลาทำงานต่อสัปดาห์หรือให้หยุดเสาร์-อาทิตย์ ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) 425 บาทต่อวัน แต่ไม่ชัดเจนเมื่อใด เป็นต้น ยอมรับว่านโยบายของบางพรรคค่อนข้างน่ากังวลเพราะปรับขึ้นค่อนข้างมากและแต่ละพรรคก็ไม่ชัดเจนว่าปรับเท่ากันทั่วประเทศอีกหรือไม่
นายธนิตกล่าวว่า ที่ผ่านมาการปรับค่าแรงเท่ากันทั่วประเทศเคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่คัดค้านเพราะมีผลกระทบค่อนข้างมากและต่อมาในยุคของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยกเลิก เพราะต้องเข้าใจว่าค่าแรงควรสอดรับกับภาวะเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่และหากเท่ากันจะไม่เกิดการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค การลงทุนจะกระจุกตัวในเมืองที่มีระบบโลจิสติกส์ที่ดี
“การปรับค่าแรงขั้นต่ำต้องคำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจ ศักยภาพการจ่ายของผู้ประกอบการและขีดแข่งขันประเทศ เพราะหากปรับขึ้นเงินเดือนทั้งค่าจ้างขั้นต่ำ รวมไปถึงราชการ ที่พรรคการเมืองระบุไว้แบบก้าวกระโดดจะทำให้ราคาสินค้าของไทยแพงขึ้นและท่ามกลางเศรษฐกิจตกต่ำที่ส่งออกก็ลำบาก สินค้าจีน และเพื่อนบ้านที่มีราคาต่ำจะทะลักเข้ามาที่สุดโรงงานอยู่ไม่ได้ปิดกิจการจะกระทบกับการจ้างงาน”นายธนิตกล่าว
นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)และประธานคณะกรรมการสายงานแรงงาน กล่าวว่า การที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้เรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้นส.อ.ท. มองว่ารัฐบาลใหม่ควรปล่อยให้เป็นกลไกของคณะกรรมการไตรภาคีที่จะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมหากมีการขึ้นค่าแรงตามนโยบายหาเสียงทันทีในอัตราที่สูงแบบก้าวกระโดดจะกระทบต่อธุรกิจที่กำลังเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME คงเป็นภาระหนักอาจจะปิดกิจการเหมือนคราวการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเท่ากันทั่วประเทศได้
ปัจจุบันไทยยังคงมีการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานไร้ทักษะที่ต้องอาศัยจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งล่าสุดกระทรวงแรงงานกำลังจะมีการร่วมลงนามความร่วมมือ (MoU) กับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติมอีกในเร็วๆ นี้ เพื่อนำเข้าแรงงานต่างด้าวแบบถูกกฎหมายอีก 500,000 คน ภายหลังจากสถานการณ์การสู้รบในประเทศเพื่อนบ้านเริ่มคลี่คลาย และเศรษฐกิจในไทยเริ่มฟื้นตัว และเป็นการแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมายไปด้วย
นายสุชาติกล่าวว่า แรงงานภายใต้ MoU นี้สามารถรวมกับแรงงานที่ทำงานในไทยอยู่แล้ว แต่ติดปัญหา เช่น ใบอนุญาตทำงานหมดอายุก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ต้องเดินทางไปแค่ชายแดนแล้วทำโดยไม่จำเป็นต้องข้ามแดนไป ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติเห็นชอบในหลักการไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งผ่านมาภายใต้เงื่อนไขนี้ ทำให้ไทยมีแรงงานต่างด้าวเข้าระบบถูกต้องได้มากถึง 1.8 ล้านคนแก้ปัญหาแรงงานเถื่อนไปได้ในตัว แต่ไทยยังต้องการแรงงานอยู่อีกประมาณ 200,000-300,000 คน จึงต้องเร่งทำ MoU เพิ่มอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี