‘กลุ่มสามารถ’เผยรายได้ไตรมาส1/66 โตขึ้น 50% ราว 2,511 ล้านบาท
12 พฤษภาคม 2566 นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่ามีรายได้รวมไตรมาส 1/2566 มีรายได้ 2,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนกว่า 50% ด้วยผลประกอบการรวมของทุกสายธุรกิจในเครือนับจากต้นปี 66 มีแนวโน้มการฟื้นตัวและเติบโตในทิศทางบวก
ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างและแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในไตรมาสนี้ บริษัทจะมีผลขาดทุนจำนวน 26 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทต้องเสียภาษีเงินได้ถูกหัก ณ ที่จ่าย ของเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทลูกในต่างประเทศ จำนวน 54 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณาผลงานที่ผ่านมาและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัท ประกอบกับภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ผมจึงมั่นใจว่ากลุ่มสามารถจะสร้างผลประกอบการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามรายได้รวมจากกลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วยสายธุรกิจ Digital Communications โดย บมจ. สามารถดิจิตอล มีรายได้จากการขายและบริการรวม 695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน สายธุรกิจ Digital ICT Solution โดย บมจ.สามารถเทลคอม มีรายได้รวม 937 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยในไตรมาสแรกของปี มีการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ มูลค่ารวม 382 ล้านบาท
นอกจากนี้ ด้านสายธุรกิจ Utilities & Transportations มีรายได้รวม 1,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนกว่า 100 % โดยบริษัทยังมีรายได้ประจำที่ทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่องจากโครงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ด้วยระบบ Direct Coding ซึ่งมีอายุสัญญานานถึง 7 ปี ในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัท ทรานเส็ค เพาเวอร์ เซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ยังได้ลงนามในสัญญาจ้างงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้า มูลค่า 276 ล้านบาท และ บริษัทเทด้า อีกหนึ่งบริษัทย่อย ก็ได้รับหนังสือตกลงว่าจ้างงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) มูลค่ารวม 2,387 ล้านบาท ปัจจุบัน จึงมีมูลค่างานในมือที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้ารวม 4,000 ล้านบาท
“ช่วงนี้ มักจะมีคำถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างไร ในมุมมองของนักธุรกิจที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคหลายสมัย ผมยังคงเชื่อว่า ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะการเลือกตั้ง ย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง และหวังว่าทุกฝ่ายจะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ในฐานะภาคเอกชน เราก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการพัฒนาและนำเสนอ Solutions เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ รองรับการพัฒนาองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่อไป” นายวัฒน์ชัย กล่าว