ผู้สื่อข่าวรานงานว่า บริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้ออกรายงานโดยระบุว่าความไม่แน่นอนด้านการเมืองและการคลัง อาจจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยในเนื้อหาของรายงานดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีเวลาถึง 60 วันในการประกาศผลอย่างเป็นทางการหลังการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม2566 แต่ตัวเลขเบื้องต้นบ่งชี้ว่าพรรคก้าวไกลได้ที่นั่งมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรคเพื่อไทย พรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้ตามมาเป็นอันดับที่ 2 และ ยังไม่ชัดเจนว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอหรือไม่ที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งทำให้มีการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายในกรอบที่กว้าง การกำหนดนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพอาจถูกจำกัดชั่วคราวหากกระบวนการสรรหาพันธมิตรร่วมรัฐบาลทำให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าไปหลายเดือน
ทั้งนี้การจะครองเสียงข้างมากในรัฐสภาและเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไปนั้น พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องรวมคะแนนเสียงให้ได้อย่างน้อย 376 เสียง จากที่นั่งรวม 700 ที่นั่งในรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร 500 คน และสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารก่อนการเลือกตั้งปี 2562
นอกจากนี้การคาดการณ์ในกรณีพื้นฐาน(base case) นั้น ผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในระยะสั้นจะมีจำกัดโดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ฟิทช์ เรทติ้งส์คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย(Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เราได้ระบุไว้กว้างๆ ว่า อาจเกิดรัฐบาลผสม ทำให้การกำหนดนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพนั้นกลายเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ก็ไม่น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และแม้ว่าแนวโน้มนโยบายการคลังมีความไม่แน่นอน แต่คาดว่ารัฐบาลผสมชุดใหม่จะยังคงยึดมั่นในนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญบางส่วนของรัฐบาลชุดที่แล้ว
ทั้งนี้ อาจมีการหยุดชะงักในการใช้จ่ายภายใต้งบประมาณสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน 2567 หากการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า จะเป็นผลลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่เรายังคงคาดว่าการเติบโตจะเร่งตัวขึ้นในปี 2566และยังคงแข็งแกร่งในปี 2567 โดยมีการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ตัวชี้วัดภาคการคลังสาธารณะของไทยที่เสื่อมถอยลงอย่างมากในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับปัจจุบัน แต่ ฟิทช์ คาดการณ์ว่า หนี้ภาครัฐทั่วไป/จีดีพี และดอกเบี้ย/รายได้ในปี 2566-2567 จะยังคงอยู่ในระนาบตามค่ามัธยฐาน (median) ของกลุ่มประเทศที่มีความน่าเชื่อถือในระดับ “BBB”
“หากรัฐบาลชุดต่อไปไม่สามารถรักษาเสถียรภาพของสัดส่วนหนี้ภาครัฐได้ ตัวอย่างเช่น มีแรงกดดันด้านการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง หรือมีผลกระทบจากภายนอกซึ่งอยู่นอกเหนือสมมุติฐานพื้นฐานของเรา นั่นจะส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลดลง” ฟิทช์ระบุในรายงาน