นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับสัญญาณว่า จะมีนักลงทุนรายใหญ่ ย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย ซึ่งบีโอไอมองว่า ไทยยังเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในการลงทุนของนักลงทุน โดยยุทธศาสตร์การส่งเสริมลงทุนใหม่ ของบีโอไอไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้นักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุนในไทยเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาฐานการผลิตของผู้ประกอบการรายเดิมที่ลงทุนในไทยมาอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนสำคัญในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้บีโอไอได้กำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่จะตอบโจทย์ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว โดยส่งเสริมให้มีการรักษาฐานการผลิตเดิมและขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพ และยกระดับกิจการไปสู่อุตสาหกรรมสมาร์ท แอนด์ ซัสเทนเนเบิล อินดัสทรี เช่น มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม เป็นมาตรการที่ออกมาใหม่ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายเดิมรักษาฐานการผลิตและขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทที่มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ไม่น้อยกว่า 3 โครงการ และมูลค่าเงินลงทุนรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท หากมีโครงการลงทุนใหม่ที่มีเงินลงทุนตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป บีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์พื้นฐาน โดยต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในปี 2566
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร นอกเหนือจากการจัดตั้งและรักษาฐานการผลิตแล้ว บีโอไอยังจะให้สิทธิประโยชน์พิเศษ หากบริษัทต่างๆ มีการย้ายกิจการสำนักงานภูมิภาค รวมถึงศูนย์วิจัยและพัฒนามาตั้งที่ประเทศไทยด้วย, มาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่สมาร์ท แอนด์ ซัสเทนเนเบิล อินดัสทรี กระตุ้นให้ผู้ประกอบการยกระดับการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งเรื่องอุตสาหกรรม 4.0 และความยั่งยืน ให้สิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต ใช้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติและดิจิทัล การประหยัดพลังงานและใช้พลังงานทดแทน การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติ ตามมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน
นายนฤตม์กล่าวว่า ขณะเดียวกันยังมีมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการลงทุนเพิ่มเติมในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การยกระดับทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างศักยภาพให้กับเอสเอ็มอีไทย โดยบีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเป็นสัดส่วนของเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุน เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตในหลายๆอุตสาหกรรมและมีอุตสาหกรรมเป้าหมายของนักลงทุนอยู่แล้ว ส่วนนักลงทุนใหม่ ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนบ้าง แต่ที่ผ่านมา มีกลุ่มนักลงทุนจากทั้งจีน ญี่ปุ่น และอินเดียที่เดินทาง พูดคุย ถึงการลงทุนในไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรม การแพทย์และยาจากเดิมที่สนใจจะลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือยานยนต์ไฟฟ้า สะท้อนว่าไทยยังเนื้อหอม เพราะมีหลายอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่นักลงทุนสนใจ
“อีอีซี ไม่ได้รอให้ตั้งรัฐบาลใหม่ก่อนจึงเดินหน้าดึงการลงทุน เพราะอีอีซีมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน เช่น แพ็กเกจสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ รองรับไว้อยู่แล้ว แต่หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าออกไปหรือเลยเดือนส.ค. ยอมรับว่า อาจมีผลกระทบบ้าง เพราะบางนโยบายยังต้องรอรัฐบาลใหม่ เช่น การกำหนดกรอบอัตราค่าเช่าในพื้นที่อีอีซีดี อยู่ในอ.ศรีราชา ที่เน้นลงทุนในด้านดิจิทัล ที่นักลงทุนสอบถามอัตราค่าเช่า แต่ยังไม่มีการกำหนดค่าเช่าที่เหมาะสมและจูงใจเนื่องจากที่ดินในศรีราชามีราคาสูง จึงต้องรัฐบาลใหม่พิจารณา และแก้ปัญหาราคาค่าเช่าที่สูงขึ้น” นายจุฬากล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี