วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
4 องค์กรขับเคลื่อนประเทศ จี้รัฐออกมาตรการสร้างแรงจูงใจภาคเอกชนเพิ่มลงทุนวิจัย

4 องค์กรขับเคลื่อนประเทศ จี้รัฐออกมาตรการสร้างแรงจูงใจภาคเอกชนเพิ่มลงทุนวิจัย

วันอังคาร ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2566, 14.42 น.
Tag : ลงทุนวิจัย สอวช.
  •  

4 องค์กรขับเคลื่อนประเทศ จี้รัฐออกมาตรการสร้างแรงจูงใจภาคเอกชนเพิ่มลงทุนวิจัย

ในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2566 (Thailand Research Expo 2023) มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสังคมในการพัฒนาประเทศ” โดย ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) หนึ่งในวิทยากร กล่าวในช่วงหนึ่งของการเสวนา โดยระบุว่า หนึ่งใน 13 หมุดหมายของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ความสำคัญการวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาประเทศ ซึ่งในมุมของการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อววน.) นั้น มีเป้าหมายการลงทุนวิจัยและพัฒนา 2% ในปี 2570 ซึ่งหากยังคงเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการผลักดัน เพื่อดึงดูดการลงทุนวิจัยและพัฒนา เพิ่มจากปัจจุบันอีกประมาณ 3 แสนล้านบาท หรือประมาณปีละ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป้าหมายหลักคือภาคเอกชนที่ปัจจุบันลงทุนในสัดส่วน 70% ในจำนวนนี้เกือบ 80% มาจากบริษัทขนาดใหญ่ประมาณ 40 กว่าบริษัท


ดร.กิติพงค์ กล่าวว่า เงื่อนไขของการไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว รายได้ต่อหัวของประชากรจะอยู่ที่ปีละ 4 แสนบาท ในส่วนของประเทศไทย ภาครายได้ของคนทำงานที่มีรายได้ประจำ อาจจะถึงเป้าหมาย แต่ในภาคเกษตรกรอยู่ประมาณ 1 แสนกว่าบาทเท่านั้น ซึ่งยังมีช่องว่างอีกมาก การจะเร่งขับเคลื่อนให้ประเทศไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ต้องเพิ่มการลงทุนวิจัยและพัฒนา ซึ่งปัจจุบันเราลงทุนอยู่ที่ 1.22% ของจีดีพี หรือประมาณ  17-18 ล้านล้านบาท ขณะที่เป้าหมาย 2% ของ จีดีพี จะอยู่ที่ประมาณ 28 ล้านล้านบาท ดังนั้นยังต้องการลงทุนเพิ่มอีก 11 ล้านล้านบาท  

ดร.กิติพงค์ กล่าวว่า ทิศทางแนวโน้มในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในการทำนโยบาย อววน. นั้น เราคิดครอบคลุมทั้งเรื่องของเศษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแนวทางในการออกจากกับดักรายได้ปานกลางนั้น 2 นโยบายหลักที่สำคัญจะนำไปสู่เป้าหมายได้คือ การเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprises: IDEs) และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนวัฒนธรรม ซึ่งเรามีต้นทุนที่ดีอยู่มาก หากสามารถทำให้เกิดมูลค่าในทางเศรษฐกิจ เชื่อมกับการท่องเที่ยวได้ จะเพิ่มรายได้เข้าประเทศได้อีกมหาศาล ดังนั้นสายงานดิจิทัลคอนเทนต์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องผลิตบุคลากรมาสนับสนุน และจากการเก็บข้อมูลของ สอวช. พบว่า สายงานในด้านนี้ จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับประเทศได้ถึง 5 แสนล้านบาท

ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วยคือ นโยบายยกระดับสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจฐานราก การลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนฯ โดยการนำ อววน. สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาคนตอบความต้องการของภาคการผลิตและบริการ รวมถึงการปฏิรูประบบอุดมศึกษา อาทิ การจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา หรือ Higher Education Sandbox ตัวอย่างเช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษา 300 คน สามารถเข้ามาเรียนในหลักสูตร และทำงานในสายงานที่เกี่ยวข้องไปด้วย โดยจะจัดการเรียนการสอนระหว่างมหาวิทยาลัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรม เมื่อเห็นว่าเด็กสามารถทำงานในตำแหน่งงานบางอย่างได้ จะเทียบค่ารายได้ให้กับเด็กตั้งแต่ตอนนั้น ให้เด็กออกไปทำงานได้เลย และถ้าต้องการปรับเพิ่มทักษะ ก็สามารถกลับเข้ามาเรียนได้ ซึ่งในระหว่างการทำงาน สามารถสะสมเป็นหน่วยกิตเข้าธนาคารหน่วยกิตได้

ดร.กิติพงค์ กล่าวด้วยว่า การแข่งขันทางเศรษฐกิจในอนาคต จะไม่เน้นการแข่งขันในเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ แต่ควรขยับการแข่งขันไปอีกระดับ โดยพัฒนาแรงงานทักษะสูงเพิ่มมากขึ้น เมื่อมองดูศักยภาพโดยภาพรวมจะเห็นว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมีความเข้มแข็งมาก นอกจากนี้ เรายังได้ลงทุนด้าน ววน. และโครงสร้างพื้นฐานไว้มาก เรามีอุทยานวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เอกชนก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้ สามารถปั้นผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม ทั้งสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ที่สามารถนำงานวิจัยต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้เป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ยังมีนโยบายทางด้าน BCG และ Non BCG เช่น อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมอีวี ดิจิทัลครีเอทีพคอนเทนต์ โลจิสติกส์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวถึงศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในอาเซียนของอินโดนีเซีย เติบโตขึ้นอย่างน่าจับตา ทั้ง จีดีพี และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เมื่อหันกลับมามองบ้านเรา ซึ่งมีจุดแข็งมากมาย ทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาที่พัฒนาขึ้นมากในรอบ 30 ปี กฎหมายหลายฉบับที่ปลดล็อกเพื่อสามารถนำงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแนวทางสนับสนุนการจัดตั้ง Holding Company เชื่อมโยงภาคการตลาด พัฒนา E-Commercial Platform รวมถึงเชื่อมโยง Data Analytic ให้เข้ากับโจทย์นวัตกรรมของผู้ประกอบการรายย่อย สิ่งที่ต้องดำเนินการเพิ่มมากขึ้นคือ บูรณาการกระบวนงานและข้อมูลหน่วยงานภาครัฐเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่าง ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในเรื่องความสามารถในการแข่งขัน ที่จะเป็นแต้มต่อให้ผู้ประกอบการได้

ในการเสวนาครั้งนี้ ยังได้มีการเชิญผู้บริหารจาก คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ร่วมเสวนาเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ประเทศไทยจะพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางสู่ประเทศพัฒนาแล้วได้ จำเป็นต้องลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพิ่ม ดังนั้น รัฐบาลจึงควรมีมาตรการและแรงจูงใจเพื่อให้ภาคเอกชนลงทุนเพิ่ม แต่ทั้งนี้การลงทุนต้องตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ เกษตร อาหาร ดิจิทัล ฯลฯ และประการสำคัญต้องพัฒนาคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในโลกที่เปลี่ยนไปด้วย  

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ‘สอวช.’โต้โผจัดเวิร์คช็อปถกประเด็นพัฒนากำลังคน ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโปรตีนทางเลือก ‘สอวช.’โต้โผจัดเวิร์คช็อปถกประเด็นพัฒนากำลังคน ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโปรตีนทางเลือก
  • ‘สอวช.’ขับเคลื่อน Future Food กระตุ้นเพิ่มมูลค่าสู่เป้าหมาย 5 แสนล้านบาท ในปี 2570 ‘สอวช.’ขับเคลื่อน Future Food กระตุ้นเพิ่มมูลค่าสู่เป้าหมาย 5 แสนล้านบาท ในปี 2570
  • ‘สสว.-สอวช.’จัดงาน Green SME Forum 2024 ประกาศเจตนารมณ์พัฒนานิเวศนวัตกรรมฯ ‘สสว.-สอวช.’จัดงาน Green SME Forum 2024 ประกาศเจตนารมณ์พัฒนานิเวศนวัตกรรมฯ
  • สอวช.เปิดผล IMD ปี67 ขีดความสามารถแข่งขันไทยอันดับขยับพรวด สอวช.เปิดผล IMD ปี67 ขีดความสามารถแข่งขันไทยอันดับขยับพรวด
  • ‘สอวช.’ร่วมบีโอไอ-สมาคมแผงวงจรไต้หวัน คัดเลือกนศ.จบใหม่ร่วมงานบริษัทเอกชนชั้นนำ ‘สอวช.’ร่วมบีโอไอ-สมาคมแผงวงจรไต้หวัน คัดเลือกนศ.จบใหม่ร่วมงานบริษัทเอกชนชั้นนำ
  • ‘สอวช.-SDG Move’เสนอเครื่องมือตัวชี้วัดBCG หนุนผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจ ‘สอวช.-SDG Move’เสนอเครื่องมือตัวชี้วัดBCG หนุนผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจ
  •  

Breaking News

ทำบุญอย่างไรให้ได้อานิสงส์มาก

(คลิป) เมื่อกล้องวงจรปิด 'ชั้น14และบ้านจันทร์ส่องหล้า' เสียพร้อมกัน นอนบ้านไม่ได้นอนชั้น14 ด้วยหรือไม่

KNU ประกาศชัยชนะตีฐานทหารเมียนมาตรงข้ามช่องทางพุน้ำร้อนเมืองกาญจน์แตกกระเจิง

คดี‘ชั้น 14’พ่นพิษ! ‘บิ๊กต่าย’สั่งกองวินัยเตรียมสอบ‘หมอ รพ.ตำรวจ’

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved