นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) บัวหลวง เปิดเผยว่าทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงมีมุมมองภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ว่าอาจอยู่ในลักษณะ “Swing แบบ Sideways” โดยมองกรอบด้านล่างดัชนีระดับ1,500 จุด ส่วนกรอบบน 1,625 จุด ปัจจัยภายในประเทศที่น่ากังวลในเชิงการลงทุนคือนโยบายภาครัฐ การบริหารเงิน Digital wallet หัวละหนึ่งหมื่นบาทสำหรับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป, ความพยายามแก้ไขกฎหมายให้จัดเก็บกำไรของผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้น, การเก็บภาษีซื้อขายหุ้น (Transaction Tax), การปรับค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงนโยบายด้านพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนน่าจับตาดูเป็นพิเศษว่าพรรคเพื่อไทยจะทำได้ตามที่หาเสียงไว้หรือไม่
ปัจจัยต่างประเทศคือ เศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากการกีดกันการค้าจากรัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป-อียู โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี และผลกระทบภายในประเทศจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นฟองสบู่ และเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้ของผู้ประกอบการใหญ่ภายในประเทศ ปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปจีนประมาณ 12% ของมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมด หากรวมส่งออกจีนและประเทศที่เกี่ยวข้องกับจีนจะมีสัดส่วนกว่า 17%
หากเศรษฐกิจจีนหดตัวหรือฟื้นตัวช้าหรือมีปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจและการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์จีนแย่ไปกว่าเดิมจะส่งผลกระทบกับไทยทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว การลงทุน หรือการดัมพ์ราคาสินค้าสู่ประเทศอาเซียนหรือตลาดโลก สินค้าบางอย่างจากจีนเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผู้ผลิตในไทยทำให้บริษัทไทยค้าขายยากขึ้น เช่น ธุรกิจวัสดุประเภทกระเบื้องห้องน้ำและกระเบื้องปูพื้น ปูนซีเมนต์ เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนไฟฟ้า อย่างไรก็ดีในฝั่งของสหรัฐฯ และยุโรป ในเรื่องของนโยบายการเงินที่เข้มงวดอยู่แล้วเชื่อว่าแนวโน้มข้างหน้าจะผ่อนคลายลง
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี’66 น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว จากการเพิ่มมาตรการต่างๆ ของภาครัฐแต่โอกาสที่จะเห็นการ Downgrade ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจยังมีอยู่ในครึ่งหลังปี’66 เพราะผลกระทบจากนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐยังมีผลกระทบน้อยในปีนี้ แต่จะมีผลกระทบบวกในปีหน้าเพิ่มขึ้น
ส่วนค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าในช่วงไตรมาส 4 ปี’66 จากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล, การส่งออกที่อาจดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะเห็นในไตรมาส 4 ปี’66 รวมถึงภาคท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเห็นการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอาจเห็นการ Downgrade จำนวนนักท่องเที่ยวจาก 28 ล้านคน ลงมาอยู่ 25 ล้านคน สาเหตุจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ออกนอกประเทศช้ากว่าคาด
อัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ในทิศทางค่อยๆ ปรับตัวลง ส่วนปรากฏการณ์เอลนีโญ ภัยแล้ง ถือเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี’67 ต่อภาวะราคาอาหารที่จะปรับตัวสูงขึ้นสำหรับราคาน้ำมันดิบยังคงไม่ใช่จุดเสี่ยง เพราะอัตราการผลิตสำรองน้ำมันทั้งกลุ่มโอเปกและกลุ่มนอกโอเปกมีอยู่ และโอเปกยังคงขยายเวลาปรับลดการผลิตน้ำมัน เราคาดการณ์ราคาน้ำมันยังอยู่ในกรอบระดับ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและนอนแบงก์ยังอยู่ในโหมด “ระมัดระวัง” จากคุณภาพหนี้ของ SME และคุณภาพของคนถือบัตรเครดิต ขณะที่อัตราการปล่อยสินเชื่อการกู้ซื้อบ้านถูกปฏิเสธในระดับสูงเกิน 25% หรือ 1 ใน 4 สอดคล้องกับระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังสูงกว่า 80% ถือเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ เพราะหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาครัฐเมื่อเทียบ GDP อยู่ในระดับชนเพดาน การกระตุ้นหรือการกู้จะทำได้ค่อนข้างลำบากและต้องระมัดระวัง
สำหรับกลุ่มหุ้นน่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี’66 คือ 1. กลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภคภายในประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว และนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เราจึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ใน 1. กลุ่มธนาคาร เนื่องจากการควบคุมความเสี่ยงได้ดี, เงินกองทุน CAR ตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศยังอยู่ในระดับสูง มีความมั่นคง ส่วนนอนแบงก์หรือไฟแนนซ์ที่ปล่อยกู้คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ยังมีความเสี่ยงกับคุณภาพของลูกหนี้ แนะนำชะลอการลงทุนในกลุ่มนอนแบงก์ไปก่อน
2. กลุ่มบริโภคภายในประเทศ จากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านโทเคนให้ประชาชนนั้นหากดูจากประมาณการเม็ดเงินที่แบงก์ชาติพูดถึง 5 แสนล้านบาท ต้องผ่านกระบวนการแก้กฎหมายขยายเพดานหนี้ก่อน แต่ในแง่ผลบวกเชิงเศรษฐกิจการหมุนเวียนการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้นน่าจะดีขึ้น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน่าจะดีและได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น 3. กลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า และประเทศไทยยังเด่นในด้านอาหาร Street food, spa และ services
กลุ่มที่ยังคงแนะ Underweight หรือมองเชิงลบ คือ 1. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคก่อสร้าง เนื่องจากการผลักดันโครงการขนาดใหญ่
ของภาครัฐยังทำได้ยากถัดจากนี้ ด้วยข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะที่สูง ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนจะรอจนเห็นนโยบายของภาครัฐชัดเจนก่อน 2. กลุ่มขนส่งเดินเรือ ในช่วงปีก่อนทำได้ดีมาก แต่ปีนี้ค่าระวางลดลงมากกระทบกำไรบริษัทเดินเรือ เราจึงมองว่าปีหน้าจะดีเฉพาะรถไฟกับสนามบิน 3. กลุ่มปิโตรเคมี Spread ยังไม่ดี ซัพพลายเข้าสู่ตลาดค่อนข้างมาก สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน เราแนะนำลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน Investment Rating สัดส่วน 32% ทองคำ 13% ส่วนที่เหลือแนะลงทุนในตลาดหุ้น 55% โดยตลาดหุ้นต่างประเทศที่เราชอบ คือ เวียดนาม ฮ่องกง และสหรัฐฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี