นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ(คต.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทย ด้านการตลาดต่างประเทศ ได้เร่งผลักดันการดำเนินการตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” โดยจัดคณะผู้แทนไทย (ภาครัฐและเอกชน) เดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ตลาดข้าว และนโยบายการค้าข้าวระหว่างกัน รวมทั้งแสวงหาโอกาสในการขยายตลาดข้าวไทยในตลาดเป้าหมาย ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ซึ่งประสบผลสำเร็จเกินคาด
โดยเดินทางไปฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 19-21 กรกฎาคม 2566 ได้หารือกับสำนักอุตสาหกรรมพืช (BPI) กระทรวงเกษตร เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบและขั้นตอนการออกใบอนุญาตนำเข้า และใบรับรองสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชสำหรับการนำเข้า ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคในการส่งออกข้าวจากมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ได้หารือกับหน่วยงาน Philippine International Trading Corporation (PITC) และหน่วยงาน National Food Authority (NFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการบริหารจัดการสต๊อกข้าวของฟิลิปปินส์โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายการจัดหาและนำเข้าข้าว รวมถึงนโยบายความมั่นคงทางอาหารของฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ไทยได้ให้ความเชื่อมั่นว่าไทยมีแผนในการบริหารจัดการข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ และได้หารือกับผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าข้าว รวมทั้งจัดเตรียมตัวอย่างข้าวขาว
พื้นนุ่ม ที่กำลังเป็นที่นิยมของชาวฟิลิปปินส์ให้แก่ผู้นำเข้าข้าวเพื่อทดลองตลาด ซึ่งผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์สนใจและยินดีนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น
ส่วนมาเลเซียเดินทางไปเมื่อวันที่ 21-22 สิงหาคม 2566 โดยได้หารือกับหน่วยงาน Padiberas Nasional Berhad (BERNAS) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิในการกำกับดูแลนำเข้าข้าวของมาเลเซีย และผู้นำเข้าข้าว ผู้ค้าส่ง/ค้าปลีก (Wholesalers/ Retailers) จากการหารือทำให้ได้ทราบว่าปี 2566 นี้มาเลเซียจะนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจนำเข้าข้าวคือราคาที่สูงและมีความผันผวนมาก นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคมาเลเซียยังหันมานิยมข้าวพื้นนุ่มที่เป็นข้าวฤดูกาลใหม่มากขึ้น ไทยจึงนำเสนอตัวอย่างข้าวพื้นนุ่มของไทยให้แก่ผู้นำเข้าข้าวมาเลเซีย โดยคาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ภายใน 2-3 ปี ซึ่งมาเลเซียสนใจที่จะพิจารณานำเข้าข้าวจากไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทย และมีศักยภาพในการจัดส่งมาโดยตลอด
อินโดนีเซียเดินทางไปเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ได้หารือกับหน่วยงาน National Food Agencyโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียเข้าร่วมหารือด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ไทยได้มีโอกาสพบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้าวทั้งหมดของอินโดนีเซีย ทำให้ทราบว่าปี 2566 นี้อินโดนีเซียมีความต้องการนำเข้าข้าวอีกกว่า 400,000 ตันโดยอินโดนีเซียยินดีนำเข้าข้าวจากไทย เนื่องจากมีคุณภาพดี แต่ขึ้นอยู่กับราคาที่เหมาะสมด้วย
สำหรับการเดินทางเยือนญี่ปุ่นเมื่อวันที่27-29 สิงหาคม 2566 ได้หารือกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่น (MAFF)ซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการการผลิต และการค้าข้าว รวมทั้งการกำกับดูแลการประมูลข้าว กำหนดปริมาณและชนิดข้าวที่จะนำเข้าของญี่ปุ่น จากการหารือทำให้ทราบว่าปัจจุบันความต้องการบริโภคข้าวของญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลง 1 แสนตัน/ปี จากจำนวนประชากรและนักท่องเที่ยวมาเยือนญี่ปุ่นลดลง แต่ญี่ปุ่นยังคงนำเข้าข้าวจากไทยปีละ 0.26-0.29 ล้านตัน
นอกจากนี้ยังได้หารือกับประธานบริษัท Overseas Merchandise Inspection Company (OMIC) และผู้นำเข้าข้าวของญี่ปุ่น ซึ่งผู้นำเข้าได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทยไปญี่ปุ่นจากสถานการณ์ภัยแล้ง เอลนีโญ และการออกประกาศระงับการส่งออกข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติของอินเดีย โดยไทยยืนยันว่าผลผลิตข้าวไทยในปี 2566 มีปริมาณเพียงพอต่อการส่งออกและพร้อมที่จะส่งมอบข้าวตรงตามสัญญาให้แก่ญี่ปุ่นต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี