nn วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)....คือฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ เพราะมีจำนวนกว่า 3 ล้านราย คิดเป็นกว่า 95% ของจำนวนวิสาหกิจทั้งระบบ....และจากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุด (ก.ค.2566) SMEs มีมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 1.54 ล้านล้านบาท คิดเป็น 35.6% ของ GDP และมีการจ้างงานในระบบประกันสังคม 11.5 ล้านคน โดยมีแหล่งกู้ยืมหลักเพื่อใช้จ่ายในธุรกิจกว่า 80% มาจากสถาบันการเงินแต่ข้อสังเกตสำคัญคือยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ส่วนหนึ่งมาจากขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และขาดหลักฐานทางการเงินที่เพียงพอในการพิจารณาสินเชื่อ
ถึงกระนั้นก็ยังมีหน่วยสำคัญที่เข้ามาช่วยบรรดาSMEsให้มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้สะดวกมากขึ้น...และนั่นก็คือบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นั่นเอง
คุณสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่าผลดำเนินงาน บสย. 6 เดือนแรกของปี 2566ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยสามารถอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อวงเงินรวม 67,987 ล้านบาท ทั้งนี้ ช่วยเอสเอ็มอีได้สินเชื่อ 51,427 ราย สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 280,786 ล้านบาท สร้างสินเชื่อสู่ระบบ 76,049 ล้านบาท รักษาการจ้างงานรวม 493,552 ตำแหน่ง ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) วงเงิน 30,280 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 5,450 ราย 2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs เข้มแข็ง (PGS 10) วงเงิน 24,766 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 40,254 ราย 3.โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงิน ระยะที่ 7 (BI7) วงเงิน 8,634 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 4,453 ราย 3.โครงการค้ำประกันสินเชื่ออื่นๆ (PGS Renew และ PGS 5 ขยายเวลา) วงเงิน 4,307 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 6% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 1,702 ราย
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการค้ำประกันสินเชื่อสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ภาคบริการ สัดส่วน 31% ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ภัตตาคาร ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจโรงแรมและหอพัก ธุรกิจท่องเที่ยว และ ธุรกิจแวร์เฮ้าส์ 2.ภาคเกษตรกรรม สัดส่วน 11% ได้แก่ ธุรกิจผัก-ผลไม้ ธุรกิจชา กาแฟ ธุรกิจข้าว และพืชไร่ ธุรกิจสินค้าเกษตรธุรกิจปศุสัตว์ และธุรกิจประมง 3.ภาคการผลิตและสินค้าอื่น สัดส่วน 10% ได้แก่ ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีก ตลาดสด และแผงลอย ธุรกิจค้าของเก่า ธุรกิจจำหน่ายมือถือและอุปกรณ์ ธุรกิจการค้า ธุรกิจการผลิตอื่นๆ
คุณสิทธิกร บอกอีกว่า ส่วนแผนงานการดำเนินงานของ บสย.ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนั้น คือการยกระดับค้ำประกันด้วย Digital Technologyสู่การเป็น SMEs Gateway ตามแนวทาง TCG Fast & First รวดเร็วรอบคอบ ที่หนึ่งในใจ SMEs ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย ช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบให้ได้มากที่สุดในช่วงฟื้นประเทศ โดยเน้นการทำงานที่เรียกว่า 3 เร่ง คือ “เร่งค้ำ เร่งพัฒนา เร่งยกระดับ”
ขยายความได้ว่า 1.เร่งผลักดันการค้ำประกันสินเชื่อ ได้แก่ มีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS 10 รองรับราว25,000 ล้านบาท โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) มีวงเงินรองรับราว 50,000 ล้านบาท โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบัน ระยะที่ 7 มีวงเงินรองรับราว 15,000 ล้านบาท 2.เร่งพัฒนาโครงการพัฒนานวัตกรรม บสย. การให้บริการลูกค้าผ่านช่องทาง Digital Platform และพัฒนา Line @tcgfirst เพื่อการเข้าถึงบริการใหม่ อาทิ การจองคิวปรึกษา “หมอหนี้” ผ่าน Line @tcgfirst ตลอด 24 ชั่วโมง และ 3.เร่งยกระดับการเข้าถึงบริการให้คำปรึกษา หมอหนี้ บสย. โครงการพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาทางการเงิน ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) และโครงการการให้บริการ Credit Mediator เพื่อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น
ถึงวันนี้ บยส.ได้ยกรับการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ขึ้นไปอีกขั้น ล่าสุดได้ลงนามร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในบันทึกความร่วมมือ โครงการพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป้าหมายคือมุ่งเน้นส่งเสริมสนับสนุน พัฒนาผู้ประกอบการที่เริ่มเติบโต รวมถึงส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งระดมทุนในตลาดทุน โดยการให้องค์ความรู้ทางการเงินเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถ และเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุน ซึ่งมีต้นทุนเงินต่ำกว่าต้นทุนเงินกู้จากสถาบันการเงิน ผ่าน “บสย. F.A. Center” โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการขอรับคำปรึกษา
คุณสิทธิกร กล่าวว่า บสย.ในฐานะหน่วยงานรัฐ ภายใต้กระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ค้ำประกันสินเชื่อช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งทุน จึงได้ขยายขอบเขตและบทบาทการให้ความช่วยเหลือมากขึ้น ผ่าน “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. FA Center” และได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน (อดีตผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินที่เกษียณแล้ว) มาคอยให้คำปรึกษา ชี้แนะ และประสานกับสถาบันการเงินในระบบทุกแห่ง เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs มีโอกาสขอสินเชื่อ ปรับโครงสร้างหนี้ และปรับธุรกิจอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีสภาพคล่อง และดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นปกติ และมีต้นทุนทางการเงินที่สมเหตุสมผล
ที่ผ่านมาการให้บริการของ “บสย.” มุ่งเน้นการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดย่อม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งขนาดเล็กๆ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ออกจากหนี้นอกระบบ มาเข้าสู่ระบบ รวมทั้ง ช่วยผู้ประกอบการให้เติบโตจากขนาดเล็กๆ ขึ้นมาเป็นขนาดย่อม และขนาดกลางและสร้างโอกาสในการระดมทุนให้มากขึ้น
สำหรับการลงนามความร่วมมือระหว่าง บสย. และSET ในครั้งนี้ ตามแนวนโยบายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของประเทศเพื่อเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 หรือThailand 4.0 โดยมุ่งเน้นส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาผู้ประกอบการที่เริ่มพัฒนาและเติบโตจากธุรกิจขนาดเล็กไปสู่ธุรกิจขนาดกลางที่เริ่มมีความต้องการระดมทุนด้วยตนเองแทนการกู้ยืม เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและ เพื่อเป็นการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยในศตวรรษที่22 นี้เป็นการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในประเทศ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งระดมทุนในตลาดทุน โดย บสย. F.A. Center ได้เข้ามาช่วยให้องค์ความรู้ทางการเงินเสริมสร้างขีดความสามารถ และเตรียมการบริหารงานให้มีความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุน ซึ่งมีต้นทุนเงินต่ำกว่าต้นทุนเงินกู้จากสถาบันการเงินทั่วไป
“บสย. F.A. Center” ทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ ตามแต่ประเภท เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม ผ่านการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว/การอบรม พร้อมติดตามผลและการทำงานร่วมกับ SET เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนา ออกแบบกิจกรรม รวมถึงวางแผนการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการซึ่งจะเป็นการยกระดับการดำเนินงานของบสย. เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง และแข็งแรง มีความสามารถในการแข็งขันในระดับสากลอย่างยั่งยืน” นายสิทธิกรกล่าว
และด้วยผลงานที่โดดเด่นต่อเนื่องนี้เอง...ทำให้ล่าสุด คุณสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)ได้รับรางวัล “เลิศรัฐ” จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) โดย บสย. ได้ส่ง “โครงการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center)” เข้าร่วมประกวดรางวัลเลิศรัฐกับสำนักงาน ก.พ.ร. และได้รับ “รางวัลบริการภาครัฐระดับดี ประเภทตอบโจทย์ตรงใจ”ในการให้บริการกับประชาชนที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs
ทั้งนี้ รางวัลเลิศรัฐเป็นรางวัลเกียรติยศซึ่งมอบให้หน่วยงานที่ได้มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จ มีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงานรัฐในการให้บริการประชาชน และ บสย. เป็นหนึ่งใน 2,000 หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศที่เข้าร่วมประกวดรางวัลเลิศรัฐ และเป็นหน่วยภาครัฐกลุ่มสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) แห่งแรกและแห่งเดียวที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีของการจัดประกวดรางวัล
“นับเป็นรางวัลอันทรงเกียรติอีกหนึ่งรางวัลที่ บสย. ได้รับ และนำความภาคภูมิใจมาสู่องค์กร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บสย. ได้มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรและปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งภายในและภายนอกที่มีการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ตามแนวทาง “TCG Fast & First รวดเร็ว รอบคอบ ที่หนึ่งในใจ SMEs รวมถึงการยกระดับช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F.A. Centerสำหรับ บสย. F.A. Center เปิดดำเนินการเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 มีผู้เข้าใช้บริการ 14,597 ราย ต้องการสินเชื่อ 14,600 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ส.ค. 2566)ช่วย SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบและวัดผลสำเร็จ การอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร (Success rate) ที่ 16%” นายสิทธิกร กล่าวว่า
อนันตเดช พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี