หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปแล้วเมื่อวันที่ 12 กันยายน และได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมีการอนุมัติในเรื่องสำคัญหลายเรื่องโดยเฉพาะการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในหลายประเด็น ซึ่งก็มีภาคเอกชนและนักวิชาการ ต่างก็ออกมาให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าว
นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาลว่า เป็นการช่วยเหลือระยะสั้น ให้คนมีเงินใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาทดังกล่าวจะเป็นประโยชน์สำหรับคนจนในระยะสั้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น แต่ปัญหา คือเงินที่จะแจกนั้นจะเป็นภาระของรัฐบาล ภาระของประเทศหรือไม่ เพราะเป็นเงินส่วนรวม ซึ่งหากสามารถบอกที่มาของเงินและคืนเงินได้ในอนาคตก็ไม่มีปัญหา เพราะเม็ดเงินนี้จะช่วยกระตุ้นภาคการผลิตด้วย เปรียบเสมือนการกินยาแก้ปวดเมื่อหายแล้วก็กลับไปทำงานต่อได้
ส่วนการลดค่าพลังงาน ก่อนจะลดควรดูประเทศเพื่อนบ้านเทียบกับเราว่ามีต้นทุนค่าครองชีพเท่าไหร่ ราคาพลังงานเขาเท่าไหร่ การจะลดค่าอะไรที่เป็นของส่วนรวมควรมีที่มา ประเทศเพื่อนบ้านที่มี GDP เท่าเราจ่ายค่าสาธารณูปโภคเท่าไหร่ เราก็ควรจ่ายเท่าเขา จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนไม่ควรเอาใจประชาชนอย่างเดียว ดังนั้นรัฐบาลจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องศึกษาประเทศเพื่อนบ้าน และต้องสมเหตุสมผล เช่น เวียดนาม 5 ปีที่แล้วมีเม็ดเงินลงทุนมากกว่าไทย 2-3 เท่า เพราะค่าไฟฟ้า ค่าน้ำราคาถูก คนก็นิยมไปลงทุนเวียดนาม
ส่วนการขึ้นค่าแรงนั้นตนเองเห็นด้วย เพราะเป็นสิ่งจำเป็น และควรขึ้นทุกปี แต่ควรขึ้นเป็นขั้นบันได้ ไม่ใช่แบบตูมเดียวและไม่ใช่เอาระบบประชานิยมมาขึ้นค่าแรง เศรษฐกิจกับการเมืองต้องแยกออกจากกัน ต้องคิดถึงความเปราะบางของโครงสร้าง ไม่ใช่ขึ้นค่าแรงจนผู้ประกอบการตาย ควรขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน เหมาะสมกับเงินเฟ้อ ค่าครองชีพต่างๆ และต้องวินทุกฝ่ายทั้งภาคการเมือง นายจ้าง และลูกจ้าง หรือที่เรียกว่า All win ถ้า
ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ แรงงานก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
“จากที่ฟังแถลงนโยบาย รัฐบาลเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว มาถูกทางแล้ว นโยบายก็ไปเอาประเทศที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทาง เป้าคือ ทำยังไงให้จีดีพีโต 5-7% ถ้าทำได้ประเทศไทยก็จะไม่มีขอทาน ไม่มีขโมยปัญหาประเทศทุกวันนี้เพราะความยากจน ส่วนการลงทุนประเทศหลังจากนี้ควรเน้นความเชื่อมั่นนักลงทุน ไม่ให้เกิดความรุนแรง ไม่ให้เกิดการลงถนนประท้วงปิดถนน ปิดสนามบิน สังคมควรให้โอกาสบริหารประเทศ เชื่อว่านายเศรษฐาถนัดการบริหารอยู่แล้ว เพราะเป็นนักธุรกิจปล่อยให้เขาได้บริหารสัก 1 ปี ถ้าทำไม่ได้ค่อยมาว่ากันอีกที” นายวิกรมกล่าว
ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง นโยบายการลดค่าไฟฟ้า ลดราคาน้ำมัน ตลอดจนเรื่องฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนของรัฐบาล ว่า เป็นนโยบายที่ตรงประเด็น เพราะนโยบายลดค่าไฟฟ้า ลดค่าน้ำมัน เท่ากับลดค่าครองชีพให้กับผู้บริโภค ส่วนนโยบายฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน ถ้าทำได้ทันทีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า ควรเริ่มทำได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ถึง เดือนมีนาคม 2567 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวในประเทศไทยซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนกลับมาท่องเที่ยวในบ้านเราถึง 5 ล้านคนได้ภายในปีนี้ หลังจากพบว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน 2566 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยแค่ 1.5 ล้านคนเท่านั้น
นอกจากนี้ นโยบายฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนจะทำให้มีนักลงทุนจีน เดินทางเข้ามายังประเทศไทยจำนวนมากในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้อีกด้วย ทั้งนี้นักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะมีการปล่อยข่าวถึงความไม่ปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทยซึ่งเมื่อตรวจสอบจะพบว่า เป็นการก่อคดีกันเองของชาวจีนที่มาพำนักในประเทศไทยซึ่งเรื่องนี้เราต้องชี้แจงทำความเข้าใจให้กับนักท่องเที่ยวจีน
นายสนั่น ยังได้กล่าวถึงภาพรวมของการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นไปเมื่อวานด้วยว่า ภาพรวมถือว่าโอเค ในส่วนของเงินดิจทัล 10,000 บาท ถ้าทำได้จริงจะเป็นนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีอีกทางหนึ่งด้วย
ขณะที่ ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่ามติการปรับลดค่าครองชีพดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรีนั้น เห็นว่ารัฐบาลดำเนินการมาถูกทางแล้ว เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยเฉพาะมีการลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการผลิตไม่สูงขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนสามารถแข่งขันการค้ากับหลายๆ ประเทศต่อไปได้ และเห็นว่าหากแนวทางดังกล่าวในช่วงที่ใช้ไปจนถึงสิ้นปีนี้แล้ว หากประเมินออกมาเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีก็อยากให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปอีกด้วยเช่นกัน
ขณะที่ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจกล่าวถึงมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ปรับลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันดีเซล โดยค่าไฟฟ้าลดเหลือ 4.10 บาท จาก 4.45 บาท เริ่มรอบบิลเดือนกันยายนนี้ และลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 2.50 บาท จะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลคงเหลือ 30 บาทต่อลิตร เริ่มได้ตั้งแต่20 กันยายน ถึง สิ้นปี 31 ธ.ค. 2566 นั้น โดยเห็นว่าการปรับลดทั้ง 2 รายการดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือลดค่าครองชีพให้กับประชาชนทุกกลุ่มรวมถึงภาคเอกชน เพราะจะทำให้ภาพรวมของราคาสินค้าและบริการในด้านต่างๆ ไม่ปรับสูงขึ้น แต่ก็ต้องไปดูว่าเมื่อต้นทุนลดลงมาได้แล้วจะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคปรับลดลงตามได้มากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ คาดว่า การลดค่าไฟฟ้าและน้ำมันดีเซลเป็นระยะเวลาเกือบ 4 เดือนในครั้งนี้ น่าจะทำให้รัฐบาลใช้เม็ดเงินชดเชยไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาทแยกเป็นค่าไฟฟ้าเกือบ 15,000 ล้านบาท และค่าน้ำมันดีเซลอีก 15,000 ล้านบาท โดยจะส่งผลให้กระตุกเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เพิ่มขึ้น .1% ของจีดีพี จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตได้ 3-3.5% ของจีดีพีและยังไม่ได้รวมกับนโยบายด้านฟรีวีซ่าภาคการท่องเที่ยวน่าจะยิ่งทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่า 3.5% เป็นไปได้มากด้วยเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี