ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ายอดขายค้าปลีกปี 2567 จะขยายตัวมากน้อยเพียงใดยังต้องรอติดตามรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งผลบวกของมาตรการโดยเฉพาะเงินดิจิทัลต่อร้านค้าปลีก นอกจากจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้เงินของผู้บริโภคแต่ละรายที่แตกต่างกันแล้ว ยังขึ้นอยู่กับการกำหนดเงื่อนไขพื้นที่และประเภทร้านค้าปลีกด้วย
ทั้งนี้มองว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2566 ยอดขายค้าปลีกคาดว่าจะขยายตัวชะลอลงจากครึ่งปีแรกที่โต 6.8% (YoY) ส่งผลให้ทั้งปีคาดว่ายอดขายค้าปลีกน่าจะขยายตัว 5.0% (YoY) ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลของฐานที่สูง และยังคงถูกกดดันจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังเปราะบาง และค่าครองชีพที่สูง ท่ามกลางราคาสินค้าบางรายการที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะต้นทุน อย่างไรก็ดี อาจมีแรงหนุนบางส่วนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นจังหวะที่ธุรกิจค้าปลีก Segment ต่างๆ จะออกแคมเปญทำตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายมากขึ้น
ขณะที่ปี 2567 ยังต้องรอติดตามรายละเอียดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะเงินดิจิทัล ซึ่งผลบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจของมาตรการ คงจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและสถานะทางการเงินของผู้บริโภคแต่ละรายที่แตกต่างกัน รวมถึงการกำหนดเงื่อนไขในแต่ละมิติ ทั้งในแง่ของการกำหนดพื้นที่และประเภทของร้านค้าจะมีผลต่อยอดขายของร้านค้าปลีกแตกต่างกัน เบื้องต้นประเมินว่า ในปี 2567 ยอดขายค้าปลีกน่าจะขยายตัว 4.0-5.0% เมื่อเทียบกับปี 2566(ยังไม่รวมผลของมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ)โดยยังคงมีแรงหนุนมาจากการทยอยฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 และฟุตบอลยูโร 2024ที่ธุรกิจน่าจะอาศัยจังหวะเวลาดังกล่าว
ทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายค้าปลีก รวมถึงผลของราคาสินค้าบางรายการ โดยเฉพาะหมวดอาหารที่น่าจะยังปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากต้องติดตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค รวมถึงผลกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐแล้ว ไปข้างหน้า แม้ยอดขายยังมีแนวโน้มเติบโต แต่ผู้ประกอบการจะยังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะกับสินค้าราคาย่อมเยาจากจีนที่เข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง และต้นทุนที่น่าจะสูงขึ้น หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นความท้าทายต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ SMEs