‘พิมพ์ภัทรา’มั่นใจปี67 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมโต 2-3%
13 พฤศจิกายน 2566 น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานงานประจำปี OIE FORUM 2566 “MIND : Set for Sustainability ปรับมุมคิด พลิกอุตสาหกรรมไทยสู่ ความยั่งยืน” หัวข้อ “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย สู่เศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน” จัดโดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจและสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 3 - 4 ปีที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การแข่งขันในภูมิภาคและสภาพเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างประเทศที่ยังยืดเยื้อ ทำให้ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยอยู่ในภาวะที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ตลอดเวลา
ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เป็นผลมาจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในเกือบทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของการจ้างงาน รวมทั้งผลจากการฟื้นฟูของภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ยารักษาโรค อุตสาหกรรมแฟชั่น เป็นต้น แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ตลอดจนภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย ที่เป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และความสามารถในการชำระหนี้ของคนไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ซึ่งจะมีการผลักดันเรื่องการพักหนี้ให้กับผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายรัฐบาล โดยหาแนวทางการช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น การพักเงินต้น การพักดอกเบี้ย โดยไม่สร้างปัญหา Moral Hazard หรือการจงใจผิดชำระหนี้ของลูกหนี้
ขณะที่ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิต ภาคเกษตรและส่งผลต่อเนื่องมายังวัตถุดิบที่จะเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพื้นที่อ่อนไหวสูงที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริม สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดวาระเร่งด่วน 6 ด้านสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม ประกอบด้วย
1. อุตสาหกรรมเป้าหมาย เน้นอุตสาหกรรมที่จะเป็นอนาคตของประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ครอบคลุมสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ การผลิตแบตเตอรี่ แผงวงจร
2. อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจนำอุตสาหกรรม”
3. อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการปรับปรุงกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษในพื้นที่อุตสาหกรรมให้เข้มงวดขึ้น
4. มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้การบริการ และการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
5. การส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ ให้มีความเข้มแข็งและอยู่รอดได้ ภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆ ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ผ่านกลไกของหน่วยงานภายในกระทรวง
6. การเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อ่อนไหวสูงที่ต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ การดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น นำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยประเมินภาคอุตสาหกรรมปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัว ซึ่งคาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ) และผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ(จีดีพี)ภาคอุตสาหกรรม จะเติบโตระดับ 2-3% เนื่องจากในประเทศมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ คือ ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และผลจากการตรึงราคาพลังงาน หนี้เกษตรกร วีซ่าฟรีหนุนการท่องเที่ยว ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักของไทยทยอยฟื้นตัว อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น ประกอบกับ นอกจากนี้การลงทุนในประเทศยังมีทิศทางขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งภาคเอกชน และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ขณะที่อัตราการเงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้อยู่ที่ 1-1.7%
น.ส. พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ส่วนกรณีการจัดตั้ง "กรมอุตสาหกรรมฮาลาล" ในเบื้องต้นกระทรวงอุตสาหกรรมน่าจะดำเนินการในรูปแบบของการจัดตั้งเป็นหน่วยงาน โดยหากจะตั้งให้เป็นกรมอย่างเป็นทางการก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่จะต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน เวลานี้จึงไม่ได้จำกัดแค่กรมเท่านั้น อาจจะเป็นองค์การมหาชนที่สังกัดอยู่ในกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ ทั้งนี้ ล่าสุดได้ดำเนินการสั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฮาลาลว่าอยู่ที่กรมใด หรือกระทรวงใด โดยปรากฏว่ามีถึง 10 หน่วยงานที่ทำงานแยกกันอยู่ ทั้งที่ทำงานวัตถุประสงค์เหมือนกัน ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการเช่นเดียวกัน
“ปัจจุบันกำลังพยายามรวบรวมหน่วยงานที่อยู่ในกรม หรือหน่วยงานต่างๆที่อยู่นอกกระทรวงให้มาอยู่ที่เดียวกัน และทำงานเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน ส่วนคณะกรรมการอิสลามกลางที่มีหน้าที่ให้ใบอนุญาตตราฮาลาลยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง มีอำนาจดังเดิม เพียงแต่หน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นจะเป็นการรวบรวมทุกหน่วยงานมาหารือกัน โดยดูว่าเรื่องใดที่เป็นอุปสรรคปัญหาจะต้องหาทางแก้ไขร่วมกันอย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสัปดาห์หน้าจะมีรายละเอียดครบถ้วน โดยในวันที่ 17 พ.ย. นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะนำเสนอรายละเอียดต่อนายกรัฐมนตรี” น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี